Deft Go: ลุยไปชมทะเลหมอกที่ดอยเสมอดาว จ. น่าน
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 3 ม.ค. 62 00:00
- 9,420 อ่าน
น่าน ถือเป็นจังหวัดทางภาคเหนือ ที่เริ่มเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาขึ้นในช่วงหลัง ด้วยความที่หลายส่วนของที่จังหวัดน่าน ยังคงความเป็นพื้นบ้าน ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อการท่องเที่ยวมากสักเท่าไหร่นัก ทำให้คนที่ไปเยือน จะสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติและวิถีชีวิตที่เป็นปกติได้อยู่
เมื่อไม่นานมานี้ ผมเองได้ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ ไม่แพ้บ่อเกลือเลย อย่างดอยเสมอดาว โดยการเดินทางครั้งนี้ ได้ไปเที่ยวหร้อมกับ Isuzu MU-X รุ่น 4x2 3.0 Ddi DA DVD Navi A/T พร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีก 5 คน รวมทั้งคันที่เดินทางไปคือ 6 คน พร้อมสัมภาระอีกกองใหญ่ เพราะมีภารกิจหลายอย่างนอกจากการเดินทางไปเที่ยวดอยสเมอดาว แต่ก็ไม่มีปัญหาครับ ด้วยขนาดรถที่ใหญ่ ทำให้การเดินทางไกลรอบนี้ สบายหายห่วง ทุกคนสามารถนั่งได้อย่างไม่มีปัญหา สัมภาระก็ถูกเก็บภายในตัวรถแบบไม่ต้องกลัวฝน งานนี้ต้องขอขอบคุณทางบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด สำหรับการเอื้อเฟื้อรถสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ด้วยครับ
การเดินทางครั้งนี้ เริ่มจากแถว 5 แยกลาดพร้าว มุ่งหน้าตรงสู่ จ. น่าน โดยใช้เส้นทางวิภาวดี-รังสิต ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ถนนพหลโยธิน วิ่งตรงไปถึง จ. นครสวรรค์ แล้วแยกออกไปทาง จ.พิษณุโลก ผ่านอุตรดิตถ์, แพร่ ก่อนเข้าสู่เขตจังหวัดน่าน ซึ่งตรงนี้ต้องระวังนะครับ ถ้าใครใช้งาน Google Maps ในการนำทาง โดยตั้งดอยเสมอดาวเป็นปลายทาง ระบบอาจจะพาไปอีกเส้นทางที่ต้องข้ามเรือขนานยานต์ก่อนถึงจะไปได้ โดยที่ไม่ผ่านจังหวัดแพร่ ดังนั้นถ้าใครกด Maps แล้ว ให้ดูก่อนว่ามันพาเราไปผ่านจังหวัดแพร่ด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่ผ่าน ให้กดใหม่โดยเลือกตัวเมืองน่านเป็นปลายทาง แล้วค่อยไปกดปลายทางเป็นดอยเสมอดาวช่วงเข้าสู่เขตจังหวัดน่านอีกที จากนั้น เส้นทางที่แยกเข้าสู่ อ.นาน้อย เราจะต้องผ่านส่วนของตัวอำเภอเวียงสาก่อน และเส้นทางเมื่อพ้นอำเภอเวียงสา ก็จะกลายเป็นเส้นทางบนภูเขา ที่ค่อนข้างมีความคดเคี้ยวอยู่ตลอดทาง แต่ก็ระยะทางไม่ไกลมาก ก็จะถึง อ, นาน้อย ที่มีดอยเสอมดาวตั้งอยู่แล้วครับ ระยะทางในการเดินทางรัวทั้งหมดก็ร่วม 700 กิโลเมตรได้ วันที่ผมไปถึงนั้น ก็ค่ำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เอาเป็นว่า เรานัดกันไปล่าหาทะเลหมอกกันตอนเช้าดีกว่า
หลังจากพักผ่อนไปทั้งคืนแล้ว ผมกับชาวคณะที่พักอยู่แถวตัวอำเภอ ก็ได้ตื่นมาสัมผัสกับหมอกตั้งแต่เช้าเลยครับ ฟุ้งไปทั่วบริเวณที่พัก จนแทบจะเห็นอะไรไม่ได้ไกล โดยผู้ดูแลที่พักบอกว่า จริง ๆ แล้วทะเลหมอกที่นี่ ปีนึงก็ขึ้นอยู่ไม่กี่วันเอง คณะเราถือว่าโชคดีแล้วที่ได้เจอหมอกวันนี้ ดังนั้นไม่รอช้า พวกเราจึงได้ออกเดินทางไปยังดอยเสมอดาวทันทีครับ เส้นทางก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เมื่อขับเข้าไปกลางตัวอำเภอนาน้อย ก็จะมีทางแยกเลี้ยวซ้ายเพื่อไปจุดหมายปลายทาง โดยมีป้ายบอกเอาไว้อย่างชัดเจน ระยะทางจากที่พักของเราไปถึงตัวจุดท่องเที่ยว ก็จะประมาณ 30 กิโลเมตรได้ครับ ใช้เวลาแค่เพียงประมาณไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็มาถึงด่านทางเข้าแล้ว โดยถ้าต้องการขึ้นไปตรงหน้าผาที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ก็เสียค่าเข้าให้กับทางอุทยานแห่งชาติด้วยครับ คนไทย 40 บาทเอง รถอีกคันละ 30 บาท วันที่ผมไปนั้นเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่มากเท่าไหร่ ยังพอหาที่จอดรถได้ไม่ยาก จากนั้นก็เดินไปตามทางลาดอีกแค่ราว 100 เมตรเท่านั้น ก็ได้เจอจุดกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วล่ะครับ โดยมีทั้งเต็นท์ของทางอุทยาน ที่เปิดให้เช้าได้ในราคาย่อมเยา หรือจะเอาเต็นท์มากางเอง ก็มีพื้นที่ให้กว้างขวางครับ แต่ถึงวันที่ไปจะเป็นวันธรรมดา แต่คนก็เยอะพอสมควรครับ นึกไม่ออกเลยว่าช่วงวันหยุดยาว คนจะแน่นขนาดไหน
จากลานกางเต็นท์ เดินขึ้นเนินไปสู่หน้าผาชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกประมาณ 50 เมตรได้ ก็จะได้พบกับสวรรค์บนดินแล้วครับ เบื้องหน้าเราจะได้เห็นภาพแบบ Panorama 180 องศาที่เป็นทิวเขาสูงต่ำสลับกันไป ปกคลุมไปด้วยต้นไม้แบบสมบูรณ์อยู่เต็มตา แทรกไปด้วยทะเลหมอกที่แผ่กระจายอยู่ตามช่องว่างระหว่างภูเขาแต่ละลูก เป็นภาพที่สวยตระการตาเป็นอย่างมาก โดยที่ไปถึงนั้น พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นครับ แต่ก็ใกล้เต็มทีแล้ว นักท่องเที่ยวก็เตรียมตั้งกล้อง ยืนรอชักภาพกันเป็นหน้ากระดานเต็มพื้นที่ รอกันอยู่ไม่นาน เราก็เริ่มเห็นแสงสีส้ม ค่อย ๆ แผ่ออกมาเคลือบเมฆให้เป็นสีส้มด้วย ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกคนเตรียมกดชัตเตอร์ แล้วเจ้าลูกบอลสีส้ม ก็ค่อย ๆ ลอยโผล่พ้นยอดเขาขึ้นมาทีละหน่อย สร้างความสวยงามกับการที่ได้ชมในครั้งนี้จริง ๆ
หลังจากชื่นชมการเดินทางของพระอาทิตย์จนขึ้นมาเต็มดวงแล้ว ก็หันไปมองด้านข้าง ทำให้เห็นหน้าผารูปแปลก ๆ อยู่ คล้ายหัวสิงโตที่อยู่บนยอดเขา ใช่แล้วครับ จุดนี้เขาเรียกว่า “ผาหัวสิงห์” เป็นหน้าผาหินที่รูปร่างคล้ายหัวสิงโตที่กำลังคำรามอยู่ สวยแปลกไปอีกแบบครับ
กลับหลังหันมาอีกด้าน อีกฟากฝั่งของภูเขาที่เรายืนอยู่ ก็ยังมีทะเลหมอกให้เห็นอีกเช่นกัน เรียกได้ว่าวันนี้ได้ชมทะเลหมอกกันแบบ 360 องศาเลย พวกเราจึงได้เดินผ่านลานการเต็นท์แล้วข้ามไปดูอีกฝั่ง โดยฝั่งนี้ได้ทราบมาว่า จะเริ่มเป็นพื้นที่ของชาวบ้านแล้ว จึงมีการปลูกแคร่ที่นั่ง และร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมทะเลหมอกอีกฟากอย่างสบายใจได้ ผมจึงจัดการนั่งจิบกาแฟยามเช้า พร้อมแกล้มชาติสายตาด้วยบรรยากาศสวยงามแบบหาได้ไม่ง่ายเลย
จริง ๆ แล้ว พื้นที่จุดนี้ไม่ได้เป็นจุดเดียวที่สามารถชมทะเลหมอกได้ ถ้าเราขับรถเลยไปอีกนิด เลยจากทางแยกเข้าด่านจ่ายค่าเข้า ก็จะมีจุดที่เป็นจุดชมวิวให้อีกแห่ง จุดนี้จะเห็นผาหัวสิงห์ได้แบบระยะไกล ๆ หน่อย แต่ความสวยงามของทะเลหมอกไม่แพ้กับบนหน้าผาจุดกางเต็นท์เลยครับ มันอาจจะไม่กว้างเท่า แต่สวยงามเช่นกัน จุดนี้ห้ามกางเต็นท์ครับ แต่น่าจะพอกางด้านข้าง ๆ ได้อยู่
ถ้าอยากไปเจอทะเลหมอกที่ ดอยเสมอดาว ทางผู้ดูแลโรงแรมได้บอกว่า ให้มาช่วงปลาย ๆ หน้าฝน จะมีโอกาสเจอมากกว่าหน้าหนาวครับ ช่วงแดดออกที่นั่น อากาศค่อนข้างร้อนครับ แต่ช่วงไม่มีแดดแล้ว อากาศเย็นลงอย่างมาก ยิ่งช่วงหน้าหนาว จะได้เห็นเลขตัวเดียวกันอยู่บ่อย ๆ แต่ช่วงที่ผมไปก็อยู่ที่ประมาณ 16-18 องศาได้ ถือว่ากำลังดี ดังนั้นการขับรถมากว่า 700 กิโลเมตร ก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก และสัญญากับตัวเองว่า จะกลับมาเยือนที่นี่อีกแน่นอน เพราะจากการไปเมื่อครั้งที่แล้ว รู้สึกตัวเองได้เลยว่า ปอดของตัวเองสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอดจริง ๆ
Earthpark02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com