Hands On : New Ford Everest วิศวกรรมเพื่อเป็นหนึ่ง ……. !!!! ???
- โดย : Autodeft
- 23 ก.ค. 58 00:00
- 68,001 อ่าน
พบบททดสอบรถนอเนกประสงค์ที่หลายคนจับตามอง The New Ford Everest ที่เรามีโอกาสจับขับมันจริงจังในการทดสอบกลุ่ม จะเป็นอย่างไร ติดตามได้เลย
เรื่องและขับทดสอบ โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
Everest ......ชื่อภูเขาที่เอ่ยนามขึ้นมาเราก็รู้ว่านี่คือที่สุดของยอดเขาสูงเสียดฟ้าระดับโลกในประเทศเนปาล ด้วยความสูงกว่า 8,848 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มันคือที่สุดความท้าทายของการผจญภัย ถ้าคุณมีโอกาสสักครั้งในชีวิต แต่เมื่อชื่อเดียวกันนี้มาอยู่ในรถยนต์อเนกประสงค์จากค่าย Ford แน่นอนมันต้องมีความสุดยอดในตัว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมามา ชื่อเสียงของ Ford Everest ถูกสลักลงบนรถยนต์อเนกประสงค์ SUV หรือ Sport Utility Vehicle ซึ่งบ้านเราอาจจะเรียกรถอเนกประสงค์กลุ่มนี้ที่ผันตัวตนมาจากกระบะอย่างสนุกปาก ติดมาจากค่ายรถยนต์กระบะรายหนึ่งยอดนิยมไทยว่า PPV หรือ Pick Up Passenger Vehicle แต่ไม่ว่าจะมาจากทางไหน เราต่างทราบดีว่า Ford Everest ก็ใช้พื้นฐานเดียวกับรถกระบะ Ford Ranger เป็นหัวใจหลักสำคัญ ก่อนทีมวิศวกรจะหากระดองใหม่มาใส่ ..ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณกำลังคิดแล้ว...รุ่นใหม่นี้กล้าพูดว่า ผิดถนัด!
ก่อนบินไปเชียงรายผมมีโอกาสได้ดูวีดีโอชุดหนึ่งของ Ford Asia Pacific ซึ่งมีวีดีโอพรีเซนท์รถยนต์ Ford Everest ใหม่ หาชมได้ใน Youtube ดูทีแรกก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอเจอคำว่า Engineer For Extraordinary ... เพียงเท่านั้นก็เล่นเอานอนไม่หลับ อยากจะขับมันขึ้นมาทันที ว่าจะเจ้าอเนกประสงค์คันนี้จะเป็นอย่างไร ในตัวตนของมัน ซึ่งเรารู้นิสัยฝรั่งมังค่าว่า ถ้าพวกเขาไม่มั่นใจในจุดดี คงจะไม่ใช้วลีดังกล่าวเป็น Slogan อย่างแน่นอน
พบกันครั้งนี้ น่าจะเรียกว่าเป็นครั้งที่ 3 แล้วระหว่างเราและ Ford Everest ใหม่ หลังจากที่รถคันนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และสามารถเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าได้มาก จนคนเข้าคิวรอกันยาวเป็นหางว่าว จนนึกว่าต่อแถวเล่นเครื่องเล่น .....ตามสวนสนุกเสียอีก
ตัวตนใหม่ Ford Everest แม้รุ่นที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงแค่ทางเลือกสำหรับลูกค้าที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์เท่านั้น แต่การแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้นในตลาดทำให้ Ford อย่างมากในการสร้างสรรค์ Ford Everest ใหม่ จนมั่นว่ามันเป็นรถยนต์ที่มีความลงตัวในการขับขี่ ถึงขนาดทาง คุณ มาร์ค ,ธนบดี กุลทล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Ford ประเทศไทย กล่าวยืนยันว่า Ford Everest ใหม่ จะเป็น Flagship Model ของฟอร์ด ประเทศไทย ต่อจากนี้โดยพร้อมกันยังได้ยกเลิกการวางจำหน่ายรถยนต์อเนกประสงค์ Ford Territory ในประเทศไทยด้วย ...แค่ฟังก็ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เจอตัวเป็นๆ ครั้งนี้ Ford Everest ใหม่ทักทายด้วยความประทับใจทางด้านการออกแบบในสไตล์รถยนต์นั่งอเมริกันขนานแท้ ซึ่งรถอเนกประสงค์ตามปรัชญาการออกแบบของชาวอเมริกัน รถต้องมีความดูดี ภูมิฐาน และไม่ขาดเส้นสายของการออกแบบต้องมีหน่วยก้านของความบึกบึนผสมผสานในการออกแบบ
เริ่มตั้งแต่ใบหน้าที่มาพร้อมเอกลักษณ์ใหม่ด้วยกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู การออกแบบให้แนวทางผสมความหรูด้วยกระจังหน้าโครเมี่ยม รวมถึงการออกแบบยังเน้นความเด่นเป็นสง่ามากขึ้น ด้วยไฟหน้าใหม่พร้อมโคมโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ ในโคมยังมีไฟ Day Time Running Light เข้ามาตอบโจทย์ในการออกแบบ ดูมีความภูมิฐานตั้งแต่แรกเห็นตามฉบับอเนกประสงค์อเมริกันขนานแท้ ยิ่งเมื่อมองกับกันชนหน้าใหม่ ออกแบบให้มีลักษณะสามมิติ ทำให้รถดูมีดีมิติมากขึ้น รวมถึง ยังตรงตามการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อีกด้วย
ความลงตัวทางด้านหน้าส่งถึงทางด้านข้างด้วยซุ้มล้อหน้าขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งรถดูมีมัดกล้าม เพิ่มความรู้สึกเข้มดุดันกว่าเดิม รวมถึงทรวดทรงด้านข้างที่โค้งมลของตัวรถ เพิ่มความรู้สึกถึงความปราดเปรียวและลู่ลม
แต่เมื่อมากถึงบั้นท้าย Ford พยายามทำงานออกแบบให้รถ Ford Everest มีความรู้สึกที่ดูหรูหรามากขึ้น ด้วยไฟท้ายแบบ LED ที่ลงตัวกับแถบชื่อ Everest ตัดด้วยสไตล์โครเมี่ยม ให้ความรู้สึกที่ลงตัวแต่ ส่วนตัวกลับมองว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากทางทีมนักออกแบบ ทำให้ไฟท้ายที่อยู่ตรงช่วงประตูฝาท้ายสั้นไปสักนิด ซึ่งเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่ มองว่ามันยังมี Proportion ที่ไม่สมส่วนเท่าที่ควร และน่าจะลงตัวกว่าถ้าทำให้มีขนาดใหญ่กว่านี้อีกสักเล็กน้อย
ท้ายสุด Ford Everest ใหม่ลงตัวด้วยล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว ลาย 6 ก้าน ในรุ่นท๊อป มาพร้อมยางขนาด 265/50 R 20 แถมยังมีราวหลังคาหรือ Roof Rail มาให้เสร็จสรรพ เช่นเดียวกับหลังคา Panoramic Moon Roof ที่เอาเข้าจริงเปิดได้ครึ่งบานของความยาวกระจกทั้งหมด
ส่วนในรุ่นปกติ ( 2.2 และ 3.2 Titanium) จะใช้ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว มาพร้อมยางขนาด 265/60/R18 รวมถึงยังไม่มีหลังคา Moon Roof มาให้
เรือนร่าง Ford Everest ใหม่นี้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเรื่องมิติตัวถังพอสมควร เริ่มจากมิติความยาว 4,893 มม.(-169 มม.) กว้าง 1,862 มม. (+74 มม.) สูง 1,837 มม. (+11 มม.) และมีระยะฐานล้อยาว 2,850 มม. (-10 มม.) ตลอดจนยังปรับในเรื่องระยะต่ำสุดจากพื้นเป็น 225 มม. (+18 มม.)หรือถ้าเทียบกับรุ่นเก่า รถยนต์ Ford Everest ใหม่ มีการปรับมิติตัวถังทางด้านความยาวลดลง 169 มม. และลดระยะฐานล้อลง 10 มม. แต่กลับกันก็ได้ความกว้างมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 74 มม. และสูงกว่าเดิมอีก 11 มม. รวมถึงเพิ่มความสามารถการลุยด้วยระยะต่ำสุดจากพื้นเพิ่มขึ้นถึง 18 มม. เลยทีเดียว
เปิดประตู..ก้าวขึ้นคันแรกวันนี้ Ford จัดเราขับ Ford Everest รุ่นขับเคลื่อนสองล้อกันก่อน กับ Ford Everest 2.2 Titanium 4X2 รุ่นเดียวของเจ้าอเนกประสงค์คันนี้ที่จะมีให้คุณเลือกสำหรับใครที่ไม่ต้องสมรรถนะในการขับขี่เพื่อการลุย
สัมผัสแรกเมื่อหย่อนตัวลงนั่งบนรถ ford EVEREST เราค่อนข้างประทับใจกับการออแบบภายในห้องโดยสารที่แม้ภายนอกจะแลดูมีความดุดันในการขับขี่ แข็งแกร่ง บึกบึน แต่ภายในห้องโดยสาร กลับให้ความสะดวกสบายมากที่สุด และยังพร้อมรองรับผู้โดยสารสูงสุดถึง 7 ที่นั่ง ผ่านออกแบบเป็น เบาะนั่ง 3 แถวแบบ 5+2 ตอบความลงตัวในการใช้งาน
เบาะนั่งคู่หน้าคงถูกใจคนรักสบาย ด้วยเบาะคนขับและคนนั่งปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เพิ่มสัมผัสความหรูหราในตัวรถได้พอสมควร เบาะแถวสองของ Ford Everest สามารถเดินหน้าถอยหลังได้เล็กน้อย และยังสามารถปรับระยะความชันของช่วงพนักผิงหลัง เพิ่มความสบายให้แก่ผู้โดยสาร แถมในยามต้องการบรรทุกของก็สามารถปรับพับราบเรียบได้ในอัตรา 60/40
และท้ายสุดเบาะแถวสาม ที่นั่งท้ายรถ เราอยากแนะนำว่าเหมาะสำหรับผู้หญิงตัวเล็กหรือเด็ก เท่านั้น เนื่องจากพื้นที่นั่งหลังค่อนข้างจะคับแคบไปนิด แต่ก็ยังสามารถปรับพับได้ด้วยในอัตรา 50/50 ซึ่งถ้าคุณซื้อรุ่นท๊อป Ford Everest Titanium + 4X4 ตัวเบาะแถวสามนี้จะยังมาพร้อมฟังชั่นสามารถปรับพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า สัมผัสเดียวก็เปลี่ยนเบาะนั่งเป็นพื้นที่โดยสาร
ซึ่งหากในวังงานหนักของคุณต้องใช้งานเจ้า Ford Everest ใหม่เพื่อการขนของอย่างเต็มพิกัด ก็ให้มั่นใจว่าเมื่อพับเบาะแถวที่สองและเบาแถวที่สามลงไป จะมีพื้นที่ความจุมากถึง 2,010 ลิตร และตามการเปิดเผยของ Ford สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 750 กก.
เรื่องความอรรถประโยชน์ในการใช้งานถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีพอสมควร น่าเสียดาย Ford ดันลืมออพชั่นกระจุกกระจิกที่คนไทยชอบมากมาย อย่างระบบกุญแจ Keyless Entry ไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้มันอาจจะดูประหลาดถ้าค้นพบว่า รถราคาระดับล้านบาท กลับต้องมานั่งกดกุญแจโมทประดุจรถยุคเก่า ซึ่งการไร้กุญแจรีโมท keyless entry ก็เลยทำให้มันขาดระบบปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ไปด้วย เป็นสิ่งหนึ่งที่เราอยากให้พวกเขากลับไปพิจารณาในรุ่นต่อไป
ถึงแม้ว่าบางอย่างจะขาดไป แต่ทีนักออกแบบ Ford กลับให้ความใส่ใจในเรื่องของการออกแบบที่ต้องสื่อความเป็นอเมริกันอย่างแท้จริงออกมา ผ่านการออกแบบที่ดูหรูหราและทันสมัย ตั้งแต่คอนโซลหน้า ที่ได้รับการออกแบบให้สื่อสารถึงความทันสมัยมาตั้งแต่เริ่มต้นแรกเห็น แค่มองด้วยสายตาก็รู้ถึงการใช้วัสดุคุณภาพสงเข้ามาอยู่ในรถขาลุยคันนี้
ในขณะที่การเลือกสรรเป็นอย่างดีลงตัวเข้ากับ การให้ความทันสมัย เริ่มจากตรงหน้าคนขับวันนี้ มีพวงมาลัยสี่ก้าน ทรวดทรงละม้ายคล้ายกับที่อยู่ในรถยนต์อเนกประสงค์ทางฝั่งอเมริกา Ford Edge หรือ Ford Explorer อยู่บ้าง บนพวงมาลัยมีปุ่มกดต่างมากมาย เอาไว้ควบคุมตัว instrument Cluster หรือ หน้าปัดของรถ ซึ่งใน Ford Everest ใหม่ แนะนำมาพร้อม หน้าปัดใหม่ที่เรียกว่า Dual TFT
การทำงานของหน้าปัดเรือนไมล์แบบใหม่ Dual TFT การแสดงผลของข้อมูลการทำงานของตัวรถจะมีความหลากหลายมากขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้งาน
หน้าจอ Dual TFT ใน Ford Everest
จอทางด้านซ้ายจะเป็นการแสดงข้อมูลการเชื่อมต่อและระบบความบันเทิง ซึ่งลิงค์มาจากกับระบบความบันเทิง Ford Sync 2 ส่วนจอดทางขวานั้นจะเป็นการแสดงข้อมูลการทำงานของตัวรถทั้งสิ้น ซึ่งจากที่มีโอกาสลองเล่นดู พบว่า สามารถแสดงผลได้หลากหลายมากมายหลายแบบ ตั้งแต่การเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลของวัดรอบเครื่องยนต์ วัดความร้อนหม้อน้ำ ไปจนถึงอีกต่างๆมากมาย ที่ทำให้คนขับสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับรถได้ง่ายมากขึ้น แต่ก็เฉกเช่นระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปคุณต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้การใช้งาน ซึ่งนั่นเป็นข้อจำกัดของเราในระหว่างการทดสอบครั้งนี้ ทำให้ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองระบบมากมาย
ไฮไลท์เด็ดที่สำคัญอีกประการของ Ford Everest ใหม่คือการติดตั้งระบบความบันเทิงใหม่ล่าสุด Ford Sync 2 ที่สามารถสังการด้วยเสียงได้ดีมากยิ่งขึ้น ระบบใช้งานง่ายมากขึ้นพอสมควร แถมยังพร้อมรองรับการเชื่อมต่อต่างๆที่ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมาวุ่นวาย กดเมนูนั่น หาเมนูนี่ให้วุ่นวายปวดจิตเหมือนระบบเดิมที่ผ่านมา ด้วยการใช้วิธีของการแบ่งเมนูชัดเจน เป็นสี่ส่วนสำคัญ ได้แก่ ระบบความบันเทิง , ระบบโทรศัพท์ ,ระบบแสดงข้อมูลทั่วไป และท้ายสุด เป็นฟังชั่นใหม่ล่าสุด ระบบควบคุมระบบปรับอากาศ จนถ้าคุณใช้งานเป็นอย่างคล่องแคล่ว ปุ่มของระบบเครื่องปรับอากาศ แทบจะไร้ค่าไปทันที เมื่อคุณสามารถสั่งให้ระบบ Sync ปรับความร้อน ความเย็นให้คุณได้
หน้าตาระบบ Ford Sync 2 ใน Ford Everest
สัมผัสแรกรุ่นขับสอง คล่องตัวที่สุดใน PPV
ก่อนจะไปไกลกว่านี้ ต้องบอกก่อนว่า รถที่ได้ทดลองขับวันนี้ เป็นรถยนต์ Ford Everest ในเวอร์ชั่นที่ยังไม่ใช่รุ่นที่ผลิตเพื่อการจำหน่ายจริง แต่เป็นเพียงรถยนต์เวอร์ชั่นทดลองประกอบ หรือ รถ PP (Pre-Production) ซึ่งรถลักษณะนี้คือแทบจะเหมือนกับรถที่ขายจริงแล้ว แต่ยังไม่ใช่รถลอทเดียวกับที่ส่งมอบให้กับลูกค้า
ด้วยความตั้งใจของ Ford ในการทดสอบครั้งนี้ จึงพยายามให้นักข่าวขับรถของพวกเขาครบทุกรุ่น และเมื่อประกาศรายชื่อ ผมและน้องโอ๊ต คู่หู ป่วนฮา Autodeft และ Sanook.com ก็มาสิงห์อยู่ในตัวเริ่มต้น Ford Everest 2.2 Titanium ถือเป็นโชคดีของเรา ที่เริ่มตัวต่ำสุดกันก่อน
แม้ว่า ใน Ford Everest ค่ายวงรีสีน้ำเงินจะมี Ford Everest 2.2 เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นรุ่นขับเคลื่อนสองล้ออีกต่างหาก แต่ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารก็ไม่ได้แตกต่างมากอย่างที่หลายคนคิด ทุกอย่างยังมีอย่างครบครันเหมือนกับพี่น้องของมันในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ
เพียงแต่ใต้เรือนร่างของ Ford Everest คันนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล Duratorq แบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.2 ลิตร มีการปรับสมรรถนะเพิ่มขึ้นจนมีกำลังสูงสุด 160 แรงม้า สูงสุดที่ 3,200 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร สูงสุดที่ 1,600- 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังลงชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งยังมาพร้อมการตอบสนองอารมณ์การขับขี่เฉกเช่นในเกียร์ธรรมดา
เครื่องยนต์เล็กในรถร่างใหญ่ เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่ามันน่าจะต้องอืดอาดอย่างแน่นอน แต่เอาเข้าจริงเมื่อออกเดินทางใน Ford Everest 2.2 เจ้าอเนกประสงค์คันนี้กลับให้ความรู้สึกที่มีความลงตัวมากกว่าที่คาด ตัวรถไม่ได้ดูหนอืดอาดอย่างที่หลายคนคาดเอาไว้
แม้ว่าความรู้สึกเมื่อยามเร่งเครื่องยนต์อาจจะไม่ได้ถึงขนาด รวดเร็วทันใจปานรถสปอร์ตมาจุติในร่างรถยนต์อเนกประสงค์ แต่กับคนทั่วไปที่ขับรถแบบสบายๆ ไปเรื่อย ซิ่งบ้างตามอารมณ์เป็นบางจังหวะ เจ้ารุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรก็ไม่ได้ขี้เหร่ อะไรนักหนาอย่างที่มันควรจะเป็นเมื่อมองจากขนาดตัวรถที่ใหญ่โตพอสมควร แถมจากที่ขับยังพอจะรู้สึกได้ว่าเครื่องยนต์ค่อนข้างตอบสนองต่อช่วงความเร็วต่ำได้ดี รถพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว (ค่อนข้างให้ความรู้สึกดีมากกว่ารุ่น 3.2 ลิตรที่มีโอกาสขับภายหลัง) อาจจะด้วยน้ำหนักหนักที่ไร้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้รถดูเป็นอเนกประสงค์อีกรุ่นที่ขับสนุก
ไฮไลท์หนึ่งที่ Ford ภูมิใจนำเสนอในรถยนต์ Ford Everest ใหม่ คือการที่พวกเขาท้าทายความเชื่อของตลาดด้วยการติดตั้งระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงบังคับล้อแบบไฟฟ้าหรือ ระบบ Electronic Power Assisted Steering (EPAS) ซึ่งระบบเรามักจะเห็นได้ ในรถยนต์นั่งสุดหรู แต่ฟอร์ดก็ท้าทายด้วยการนำระบบดังกล่าวมาติดตั้งในรถยนต์อเนกประสงค์คันนี้ และนับเป็นครั้งแรกในตลาดที่มีระบบพวงมาลัยไฟฟ้าเข้ามาตอบโจทย์ในการใช้งาน กับรถยนต์อเนกประสงค์กลุ่มนี้
ระบบพวงมาลัยไฟฟ้านั้นไม่ใช่ของใหม่ในตลาดรถยนต์ เนื่องจากระบบแบบเดียวกันนี้ถูกนำมาใช้กับรถเก๋งแล้วหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งข้อดีของระบบดังกล่าวคือมันสามารถปรับสภาพแปรผันน้ำหนักพวงมาลัยได้ตามความเร็ว ที่เดินทางได้
โดยในระหว่างเส้นทางเริ่มต้นการเดินทางของเรากับ Ford Everest 2.2 เราผ่านออกจากตัวเมืองเชียงราย ซึ่งมีสภาพการจราจรเป็นเขตเมือง หลายครั้งด้วยขนาดตัวรถที่มีขนาดใหญ่ เราอาจจะต้องหักหลบสิ่งกีดขวางหรือรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับช้ากันบ้าง ซึ่งพวงมาลัยไฟฟ้าในช่วงความเร็วต่ำก็ให้ความรู้สึกเบามือพอสมควร จนกล้าพูดได้ว่าแม้แต่ผู้หญิงก็สามารถขับเจ้ารถคันนี้ได้อย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องไปฟิตกล้ามยกเวทให้ดูแมนเหมือนแต่ก่อน ทว่าสามารถผอมเพรียวแล้วเดินลงสวยๆ จาก Ford Everest ได้เหมือนกัน
ออกนอกเมืองเราเริ่มต้นด้วยช่วงถนนสองเลน อาการพวงมาลัยไฟฟ้าเริ่มเพิ่มน้ำหนักในการขับขี่ ไปพร้อมกับความแม่นยำในการบังคับเลี้ยว ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ในยามที่คุณต้องผจญภัยบนทางโค้งเมืองเหนือแบบนี้
พวงมาลัยไฟฟ้า Ford Everest มีข้อดีที่ถูกปรับปรุงจากในพวงมาลัยไฟฟ้าหลายๆตัวที่เราเคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้ในรถยนต์ของ Ford คือมันมีอาการหน่วงในระหว่างการสั่งการน้อยลง การบังคับทิศทางแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณหักพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทางไปตามต้องการ ทำให้พวงมาลัยไฟฟ้าชุดใหม่กลายเป็นข้อโดดเด่นในรถยนต์อเนกประสงค์คันนี้
ยิ่งในยามที่เข้าโค้งอย่างต่อเนื่องพวงมาลัยไฟที่ควบคุมใช้งานง่ายและแม่นยำนี้ กลับกลายเป็นประโยชน์ตัวชูโรงในการขับขี่อย่างสนุกสนาน ยิ่งเมื่อรวมกับการทำงานของระบบกันสะเทือนที่ถูกปรับมาเป็นอย่างดี ด้วยการเซทระบบกันสะเทือนทางด้านหน้าแบบอิสระ พร้อมโช๊คอัพ คอยย์สปริง และเสริมความมั่นใจด้วยเหล็กกันโคลง ส่วนทางด้านหลังเป็นระบบกันสะเทือนแบบ คอยย์สปริง พร้อม Watt’s Link ซึ่ง Ford ภาคภูมิใจ
ในระบบกันสะเทือนทางด้านหน้าที่ดูเหมือนรถยนต์อเนกประสงค์ทั่วไป Ford ได้สร้างความแตกต่างในการขับขี่ ด้วยการใช้แนวคิดการออกแบบอย่างผสมผสาน ด้วยการนำระบบสะเทือนแบบกึ่งอิสระมาปรับปรุงเข้ากับรถยนต์อเนกประสงค์ที่ต้องมีดีในการเกาะถนนและพร้อมลุยไปด้วยเช่นเดียวกัน
การวิศวกรระบบกันสะเทือนใหม่ของ Ford ใน Ford Everest ถ้ามองจากสิ่งที่พวกเขานำเสนอมันก็ดูจะค่อนข้างธรรมดา แต่การพัฒนาระบบกันสะเทือนหลังรถคันนี้กลับถูกนำแนวคิดต่างๆ เข้ามาผสานในการสร้างสรรค์ เริ่มจากการใช้แนวคิดของระบบคานแข็งด้วยการคงชุดเพลาหลังทั้งเส้นเอาไว้ ซึ่งค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องของความแข็งแกร่งในยามที่ต้องบุกตะลุยในเส้นทางออฟโรด
แต่ในยามที่คุณต้องขับมันไปบนถนนทั่วไปทาง Ford ก็ไม่ลืมที่จะสร้างความนุ่มนวลในการโดยสาร ด้วยการยัดระบบคอยสปริง มาแทนระบบแหนบแผ่นซ้อนที่เคยใช้ในอดีต ซึ่งวิธีการของวิศวกรรมชุดคอยย์สปริงดังกล่าว Ford ได้หยิบเอาแนวคิดที่เราคุ้นเคย ด้วยการจัดวางตัวโช๊คและสปริงแยกจากกันอย่างอิสระ คล้ายกับระบบช่วงล่าง ทอร์ชั่นบีม (Torsion Beam)ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในรถยนต์ซิตี้คาร์ทั่วๆไป เข้ามอบโจทย์ และเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ พวกเขาได้ทำการสร้างมุมกระทำต่อเนื่อง ให้ช่วงล่างไม่มีการเหวี่ยงตัวในแนวระนาบ โดยใช้การลดการเหวี่ยงตัวแนวระนาบด้วย Watt’s Link หรือภาษาชาวบ้านกลุ่มออฟโรด จะเรียกเจ้าตัวนี้ว่า “กันเซ”
การเซทระบบช่วงล่างทางด้านหลัง Ford Everest
เจ้า Watt’s Link หรือตัวกันเซ ที่ติดตั้งเข้ามาใน Ford Everest ใหม่นี้ ทางทีมวิศวกร มุดประสงค์เพื่อลดลดการกระทำในแนวระนาบกับระบบช่วงล่างของรถ เพื่อให้ระบบกันสะเทือนขยับตัวขึ้นลงตามแรงกระทำในแนวดิ่งเท่านั้น โดยแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะ คนที่คิดค้นคนแรกคือ James Watt เจ้าของเดียวกับคนที่คิดค้นเครื่องจักรน้ำ ซึ่งเขามีแนวคิดในการพยายามทำให้ จุดยึดต่างๆเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ ... ตลอดเวลา
ผลที่ได้จากการนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ในรถยนต์อเนกประสงค์ Ford Everest คือคุณจะได้ระบบกันสะเทือนที่มีความหนึบในการขับขี่ ยิ่งเมื่อรวมกับการติดตั้งตัวกันโคลงทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง จะสามารถรู้สึกได้ทันทีว่ารถยนต์ Ford Everest ใหม่ ไม่มีอาการโยนตัวมากมายในยามเข้าโค้ง ด้วยการจัดการแรงกระทำในแนวระนาบ หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ ลดแรงเหวี่ยงที่กระทำต่อระบบช่วงล่าง (โดยเฉพาะยามเขาโค้ง)
นั่นส่งผลให้ในเวลานี้ที่ผมเข้าโค้งบนเส้นทางมหาหินของถนนเมืองเหนือที่เต็มไปด้วยโค้งต่างๆนานามากมาย ชวนให้คนนั่งได้แหวะ อาหารเช้ามาบนรถ Ford Everest เจ้ารถคันนี้กลับเป็นรถอเนกประสงค์ กลับขับได้อย่างสบาย และคนนั่งก็ยังสามารถนั่งยิ้มคุยกันได้อย่างสนุกสนาน เนื่องจากรถ Ford Everest มีการเหวี่ยงตัวค่อนข้างน้อยมากในความรู้สึก ที่จริงอาการช่วงล่างค่อนข้างจะมีความใกล้เคียงกับอาการ Flat turn เนื่องจากยังมี ชุดกันโคลงติดตั้งมาให้เสร็จสรรพ
แต่ว่าด้วยความสูงของตัวรถ ยังจะทำให้มีความรู้สึกของอาการโยนอยู่บ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมบุคลิกของระบบกันสะเทือน ใน Ford Everest ออกแนวทางนุ่มนวลมีแอบกระด้างในบ้างจังหวะการขับขี่แต่ไม่มากมายจนออกอาการมาให้เราเห็นอย่างชัดเจน
และท้ายสุด เราจอดลงมาจาก Ford Everest 2.2 เพื่อเปลี่ยนมือให้น้องโอ๊ตได้ทดสอบกันบ้าง ซึ่งตลอดระยะทาง 33.6 กิโลเมตรที่เราขับในช่วงแรก ทั้งหมดเป็นสภาพถนนแบบสองเลนสวนเสียส่วนใหญ่ไม่มีช่วงไหนที่เราใช้ความเร็วได้ถึง 90 ก.ม./ช.ม. บนหน้าปัด Ford Everest 2.2 แจ้งอัตราประหยัดเฉลี่ยที่ 10.9 ก.ม./ลิตร
ลองหน่อยเวอร์ชั่นลุย ใน Ford Everest 3.2
หลังจากเปลี่ยนมือขับให้นายโอ๊ต ผมก็กลายเป็นผู้โดยสารยาวๆ มาจนถึงสเตชั่นของเส้นทางสุดหิน ถนนหนทางแห่งการบุกป่าฝาดง Off Road
ตลอดระยะทางที่กลายมาเป็นผู้นั่งสัมผัสความสบายของ Ford Everest ใหม่ได้ใจมากๆ ด้วยเบาะนั่งที่มีสัมผัสนุ่มสบายในยามที่ผู้ขับขี่เมามันส์กับโค้ง ขณะเราก็นั่งควักถั่ว Blue Diamond มานั่งทานกินลมชมไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งที่นั่งในฝั่งคนนั่งและคนขับ ถือว่าออกแบบมาค่อนข้างดี ตัวเบาะมีขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควร จนแม้กับคนตัวใหญ่นั่งสบาย พนักผิงหลังเองก็ค่อนข้างโอบกระชับพอสมควร แต่ไม่ได้บีบตัวแบบบัคเก็ทซีท และการให้เบาะนั่งแบบหุ้มหนังช่วยให้คุณมีความสบายมาขึ้นยามเดินทาง ในรถคันนี้
และแล้วก็ได้เวลาเปลี่ยนรถ หลังจากฟังบรรยายสรุปเรื่องการลุยเสร็จ ก็ถึงเวลาที่เราจะไปเขย่าเม้าท์แตกในการขับรถตะลุยป่าสั้นๆ กับ Ford Everest กัน
น่าเสียดายที่ Ford ไม่ยอมนำเสนอ Ford Everest รุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ถ้าคุณต้องมีรถเพื่อเอาไว้ใช้ลุย Ford Everest ใหม่จะตอบทันทีด้วยที่สุดของที่สุดกับรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร ซึ่งมีให้เลือกสองรุ่นได้แก่ รุ่น Titanium ซึ่งจะมีตัวตนคล้ายกับรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรที่ขับมา รถเป็นล้ออัลลอย 18 นิ้วและมือจับสีเดียวกับตัวรถ ไร้หลังคามูนรูฟ เป็นตัวเริ่มต้นพื้นฐานขาลุยที่ค่อนข้างลงตัว และพี่มาร์คบอกว่า เขาค่อนข้างมั่นใจว่าด้วยราคาจำหน่ายที่ตั้งออกมารุ่นนี้จะขายได้ดีกว่า
แต่ถ้าใครชอบออพชั่นแบบสุดติ่งกระดิ่งแมวไปเลย ก็ขอยลกับราชรถคันที่สองของเราในวันนี้ Ford Everest 3.2 Titanium Plus ซึ่งนอกจากที่เรากล่าวในเรื่องของการออกแบบ ไม่ว่าจะหลังคามูนรูฟ มือจับประตู แล้ว ยังมีของเจ๋งๆ อีกหลายรายการ อย่างเช่น ล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว เสร็จสรรพจากโรงงาน พร้อมยาง 265/50/R20 เบาะนั่งแถวสามปรับพับไฟฟ้า ,ประตูหลังเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แถมใครชอบความทันสมัยมันยังมาพร้อมระบบ Active Park Assisted ซึ่งถ้าไม่นับบรรดารถยุโรป นี่น่าจะเป็นรถอเนกประสงค์คันแรกในตลาดที่ ที่มีระบบช่วยจอดแบบเดียวกับที่แนะนำใน Ford Focus มาให้ นั่นทำให้ ราคาค่าตัวรถรุ่นนี้เลยกระโดดไปไกลถึง 1,599,000 บาท หรือ อาจจะมากกว่านั้น เมื่อมีการปรับภาษีใหม่ในปีหน้า
ความลงตัวครบครัน และทันสมัย Ford Everest 3.2 แนะนำตัวด้วยการพกที่สุดสมรรถนะในการขับขี่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล เทอร์โบชาร์จ Duratorq แบบ 5 สูบแถวเรียงขนาด 3.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุดมากถึง 200 แรงม้าที่ 3,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดถึง 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750 - 2,500 รอบต่อนาที ส่งลงระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด และยังมีโหมดเปลี่ยนเกียร์ได้เองถ้าต้องการ
ความเร้าใจในสมรรถนะที่รออยู่ และความสบาย ตลอดจนความทันสมัยในการขับขี่ ผมและนายโอ๊ตพร้อมใจกันกระโดดขึ้นนั่งเบาะหลัง ปล่อยให้น้องหมู MoO Cnoe น้องชายทีมงานร่างทรงของพี่จิมมี่จาก Headlightmag.com ที่เหมือนแม้แต่เรือนร่างและขนาดตัว มาเป็นสารถีรับไม้แรกในการพาเราเข้าป่าในวันนี้
การนั่งเบาะหลังแถวสองของ Ford Everest ใหม่ จะบอกว่ามันไม่ต่างอะไรจากคุณได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดในยามเดินทางไกล ด้วยการออกแบบพื้นที่โดยสารมาเป็นอย่างดี เบาะนั่งสามารถปรับระดับเอนได้ ในระดับหนึ่ง ซึ่งเมื่อคุณเอนเบาะและจะพบที่สุดความสบายในการโดยสารรถยนต์อเนกประสงค์ จนอาจจะพล้อยหลับไปได้โดยง่าย
ขับมาได้สักระยะน้องหมูจัดการเล่นโค้ง S ลงเขาด้วยความเร็วราวๆ 100 ก.ม./ช.ม. จริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับการทดสอบรถ แต่นาทีนั้น ...ผมเห็นสัญญาณการแจ้งเตือนระบบ Traction Control ขึ้นไฟเตือนที่หน้าปัด และตามมาด้วย ระบบสั่งยกเลิกการทำงานของโหมดการขับขี่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว
“พี่ไฟเตือนมันไม่ดับ” ....นาทีนั้นผมคิดเอาไงดี งานเข้าละ เพราะ สงสัยงานนี้จะหารสาม ... จึงทำการพูดคุยกับทีมงานผ่านวิทยุสื่อสารกับทีมงาน และทีมงานก็จัดการเปลี่ยนรถให้เราสลับกับทีมวิศวกรเพื่อขอตรวจสอบรถที่เราขับทดสอบกัน ก่อนที่เราจะเดินทางกันต่อไป
สิ่งที่คุณควรรู้เมื่อมองรถยนต์ Ford Everest ไว้เพื่อการลุย คือรถคันนี้ใช่รถอเนกประสงค์ที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Part time แต่ทางทีมงาน Ford ได้พัฒนาระบบขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นมาใหม่ โดยยกเอามาจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อสุดอัจฉริยะ Ford Terrain MANAGEMENT System หรือ TMS มาติดตั้งไว้ในรถยนต์ Ford Everest ใหม่ ซึ่งระบบดังกล่าว มีแนะนำในรถยนต์อเนกประสงค์ตัวท๊อปของค่ายอย่าง Ford Explorer
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมระบบ Ford Terrain MANAGEMENT System มันเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ All Wheel Drive หรือ AWD ที่สามารถแปรผันการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปสุดชุดล้อทางด้านหน้าและด้านหลังได้อย่างอิสระ ตามความต้องการของระบบที่จะดูแลควบคุมจัดการให้คุณเองโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่การขับใน Normal Mode หรือ โหมดการขับขี่ทั่วไป
ทางทีมวิศวกร เล่าให้เราฟังว่าระบบจะทำการแปรผันแรงบิดอัตโนมัติ ผ่าน Active Transfer case ในอัตรา 40 / 60 ระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง และจะเปลี่ยนไปตามการใช้ความเร็วหรือสภาพผิวทาง แต่ไม่ถึงขนาดที่มันจะสามารถขับเคลื่อนเฉพาะสองล้อหลัง 100% ได้
การให้ระบบดังกล่าวมาใน Ford Everest ทางทีมวิศวกรค่อนข้างมั่นใจอย่างมากกับระบบของพวกเขาที่จะตอบสนองการขับขี่ในเรื่องของเส้นทางบุกป่าฝ่าดงกันเป็นอย่างดี และ เรากำลังจะได้ทราบกันในไม่อีกกี่อึดใจ
ลืมทุกสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ไม่ว่า จะ 4H ,2H , 2L ไปให้หมด เพราะระบบ Ford Terrain MANAGEMENT System เป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดของวิศวกรระบบขับเคลื่อนค่ายวงรีสีน้ำเงินที่ต้องการให้ ผู้ใช้ไม่ต้องพะวงกับการใช้งานชุดเกียร์ขับเคลื่อนสี่ล้ออีกต่อไป และง่ายดายมากขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวการลุยมาก่อนหน้านี้
ในระบบ Ford Terrain MANAGEMENT System จะแยกการใช้งานออกเป็นโหมดต่างๆ ตาม สภาพเส้นทางที่สำคัญๆ ที่พวกเขาได้ไปทดลองมาแล้วทั่วโลก เริ่มจาก
- Normal Mode หรือโหมดพื้นผิวทั่วไป ซึ่งโหมดดังกล่าว จะเน้นการให้ระบบส่งกำลังแปรผันตามความเหมาะสมระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง เพื่อประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีที่สุด และลดการลื่นไถล โดยแรงบิดจะถูกส่งมายังล้อหน้า เมื่อยามจำเป็น โดยพิจารณาจากการเร่งความเร็วและการหักเลี้ยว
- Snow / Gravel /Grass โหมดการขับขี่เดียวที่ครอบคลุมแบบ 3 in1 เป็นโหมดสำคัญในการขับขี่เส้นทางลุยทั่วที่มีสภาพทางที่ค่อนข้างลื่น โดยจะทำงานร่วมกับ ระบบ Traction Control และยังมีการเปลี่ยนการตอบสนองระหว่างชุดเซ็นเซอร์คันเร่งไฟฟ้า หรือ Paddle map ตลอดจน การทำงานของชุดเกียร์
- Sand โหมดการขับขี่เพื่อสำหรับการตะลุยพื้นที่ที่เป็นทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรายนิ่มตามชายหาด งานนี้ลงไปได้สบายมากขึ้น ด้วยการพยายามใช้กำลังเครื่องสูงสุด และลดการทำงานของ traction control รวมถึงยังพยายามทำให้เกิดการลากรอบเครื่องยนต์มากขึ้น และชุดเกียร์เปลี่ยนช้าลง
และท้ายสุด Rock โหมดทางหินเพื่อการไต่ โดยเฉพาะ เผื่อใครอยากทำอะไรห่ามๆ ต้องการตะกายเส้นทางสุดโหด โหมดทางหินนี้เป็นโหมดที่เหมาะสำหรับขาโหดตัวจริง ซึ่งทางทีมวิศวกรไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับมันมากมาย แต่กล่าวว่าโหมดนอกจากทางหินแล้ว ยังเหมาะแก่การขับในกรณีที่คุณอาจจะต้องลุยน้ำลำธารที่มีหินมากมาย (ใช้คู่กับ 4X4 Low)
ความวิเศษของระบบขับเคลื่อน Ford Terrain MANAGEMENT System นอกจากการใช้งานง่ายเข้าใจง่ายขึ้นแล้ว ในรถยนต์ Ford Everest ทางวิศวกรยังทำให้รถมีความสามารถมากขึ้น จนพวกเขาใช้คำพูดว่า The most off road capability เนื่องจาก ทาง Ford ยังใส่ชุดเกียร์ขับ เกียร์สโลว์เพิ่มอำนาจการขับแรงบิดมากขึ้น มีความสามารถเท่าตำแหน่ง 4L
นอกจากนี้ เจ้า Ford Everest ใหม่ยังครบมือในการตอบโจทย์การขับให้ง่ายได้มากขึ้นไม่ว่าจะระบบ Hill DECENT Control หรือจะที่สุดของฟังชั่นการเดิมระบบล็อคเฟืองท้าย Electronic Diff-Lock ช่วยป้องกันการลื่นไถลของการขับขี่แบบ Off Road
ออพชั่นมากมาย มาครบมือขนาดนี้ Ford Everest ใหม่ เปิดตัวการลุยกับผม เมื่อสลับกับน้องหมูท่ามกลางยอดเขาสูงชัน ไม่ทราบสถานที่กลางเมืองเชียงราย เราออกตัวด้วยการขับในโหมดการขับขี่ Snow / Gravel / Grass ที่บิดมาใช้ตั้งแต่เข้าเส้นทางสมบุกสมบัน
แม้ว่าจะมีการสลับรถในช่วงต้นอย่างที่เรากล่าวไปแล้ว แต่ว่ารถคันที่เราสลับก็ยังเป็น Ford Everest 3.2 Titanium + เหมือนเดิม สิ่งที่น่ากลัวมากเมื่อเอารถคันนี้มาเพื่อการลุยคือ ชุดยางแก้มเตี้ย ของมัน ด้วยล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วที่มาพร้อมยาง 265/50/R20 อาจจะกลายเป็นหอกข้างแคร่เมื่อเอารถมาใช้เพื่อในการลุย แม้ในยามบนถนนหลวงจะดูหล่อดี แต่ถ้ามาเจองานหนักใช้งานโหด เจอหินแบบนี้มันก็น่าหวั่นใจไม่น้อยเช่นกัน
ช่วงแรกของเส้นทางโหด ด้วยเมื่อเช้าของวันทดสอบฝนตกลงมาโปรยปราย ทำให้ดินลูกรัง แอบกลายสภาพเป็นโคลนบ้างเล็กน้อย แต่ Ford Everest 3.2 Titanium + ก็ยังขับได้สบาย ยางแก้มเตี้ยมีผลบ้างต่อการลุย เนือจากรถจะดิ้นมากกว่า ยางแก้มสูง แต่ด้วยความล้ำหน้าของระบบ Traction Control ก็ทำให้มันควบคุมงายมากขึ้น รวมถึงพวงมาลัยไฟฟ้าก็ยังตอบสนองดีในยามต้องขับเพื่อการลุย ขณะที่ระบบกันสะเทือนในตัวท๊อปล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว แอบได้ความกระด้างขึ้นกว่าเล็กน้อย
ไม่นานเรามาถึงจุดทดสอบระบบ Hill Decent Control ระบบช่วยในการลงเขา ที่ติดตั้งมาช่วยอำนวยความสะดวก ระบบนี้ก็คล้ายกับคู่แข่งที่มีมาให้อยู่แล้ว เพียงแต่มันทำงานได้นิ่มนวลมากขึ้นกว่าเดิม อาจจะเป็นเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่าก็ได้
การจัดสถานีต่างๆ ตามสภาพภูมิประเทศจริง ทำให้เราเห็นการทำงานของระบบ Ford Terrain MANAGEMENT System มากขึ้นอย่างเช่นการขับรถฝ่าตะลุยเส้นทางที่ต้องลุยหนักๆ เช่นการลงน้ำ การเปลี่ยนโหมดการขับขี่สามารถทำได้ง่ายเพียงเลื่อนสวิทช์วงแหวนของระบบ แต่ด้วยทางฟอร์ด อาจจะคิดว่า Ford Everest เป็นรถที่มีราคาถูกกว่า Ford Explorer พวกเขาเลยไม่ได้ใส่ไฟบอกตำแหน่งโหมดการใช้งานมาให้ แต่ใช้วิธีการแสดงผลที่ Dual TFT แทน ซึ่งข้อดีมันอาจจะแลดูง่าย แต่บางครั้งเรามักจะอยากรู้ตอนบิดว่า นี่บิดไปถูกโหมดการขับขี่หรือเปล่า อย่างน้อย ทำขีดชี้บอกก็ยังดี จะเป็นบุญยิ่ง
ในระหว่างการทดสอบการลุย Ford Everest เรามีโอกาสทดลองใช้ระบบ E –diff ซึ่งช่วยล็อคเพลาหลังในการขับขี่ทางโหด ตลอดจนการใช้ฟังชั่น 4X4 Low ซึ่งฟังชั่นทั้งสองเมื่อใช้ในการขับขี่แล้ว แทบจะทำให้คุณสามารถไปลุยได้ในทุกเส้นทางการขับขี่ เหมาะกับขาโหดตัวจริงที่ต้องการบุกตะลุยป่าเขาลำเนาไพร ไม่ว่าข้ามลำธาร วิ่งเลียบแม่น้ำ หรือไต่เนินตะกุยโคลน ทั้งหมดตลอดการทดสอบ เราได้ลองหมดแล้ว
และยิ่งเมื่อมาดูการออกแบบตัวรถ Ford Everest ที่สร้างขึ้นมาตอบมุมไต่สูงสุด 29 องศา มีมุมุมคร่อมสูงสุด 21 องศา รวมถึงมุมจาก 25 องศา เช่นเดียวกับการยืนยันความสามารถในการลุยน้ำลึกสูงสุด 80 ซ.ม. เจ้านี่ก็น่าจะเป็นที่สุดของรถยนต์อเนกประสงค์ขาลุย อย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือการพยายามให้ระบบไฟฟ้าจำนวนมากมาย ผ่านระบบต่างเข้ามาตอบโจทย์ โดยเฉพาะตัวระบบ TMS เองพยายามที่จะช่วยขับขี่ด้วยการอ่านค่าการทำงานของ คันเร่ง พวงมาลัย ตลอดจน ยังมี Gyroscope Sensor , G Sensor และ Wheel Speed Sensor ซึ่งมีมากมายหลายรายการที่ทางทีมวิศวกรอาจจะไม่ได้เปิดเผยกับเรา คำถามคือ เมื่อต้องลุย มันจะทนทานแค่ไหน แล้วรถที่พึ่งพาระบบไฟฟ้ามากขนาดนี้ จะไหวไหมเมื่อเจอเส้นทางที่โหดหินจริงจังมากกว่าที่ขับทดสอบ แม้ข้อเท็จจริงอาจจะเข้าใจได้ว่า คนซื้อรถหรูขนาดนี้คงไม่ลุยกันเป็นกิจวัตร แต่เมื่อใดเกิดการลมเหลวของระบบกลางป่า จะออกมาได้หรือไม่
คำถามนี้ทางทีมวิศวกรตอบให้เราฟังว่า ในกรณีที่ระบบเกิดการล้มเหลวในการทำงาน อาจจะด้วยปัจจัยต่างๆ อะไรก็ตาม ระบบจะทำการเซทค่าสู่ Normal Mode ในทันที โดยในยามลุย Normal Mode ก็ยังเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนฟังชั้น 4X4 Low และ E diff นั้นแยกการทำงานอิสระจากระบบ ดังนั้น เท่ากับคุณยังสามารถลุยกลับบ้านได้ รอดชีวิตกลับบ้านได้อย่างแน่นอน
บนถนนยังได้ แต่ความรู้สึก 2.2 ลงตัวกว่า
หลังลุยเสร็จสรรพ ผมยังควงเจ้า Ford Everest 3.2 Titanium + อย่างต่อเนื่อง เดินทางกลับ โดยระหว่างเส้นทาง สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุด คงหนีไม่พ้นเครื่องยนต์ ขนาด 3.2 ลิตร ที่เราหลายคนคิดว่า น่าจะเร้าใจในการขับขี่ กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกกระโชกโฮกฮากอย่างที่ควรจะเป็น
ในแง่หนึ่ง เรารู้สึกว่า ตัวรถ Ford Everest 3.2 Titanium + มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าในรุ่น 2.2 ขับเคลื่อนสองล้อ ทำให้ความคล่องตัวของรถที่พบได้ก่อนหน้านี้ขาดหายไป แต่กลับกันการใช้ล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วเข้ามา รวมถึงการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ All Wheel Drive ก็ช่วยให้ความมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น จนแม้แต่เส้นทางสภาวะฝนตกหนักเจ้า Ford Everest 3.2 Titanium + ก็ยังขับได้อย่างมั่นใจ
แต่ในเรื่องอัตราเร่งของเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร และการขับในความเร็วสูงก็ยังไม่สามารถบอกได้ ว่า จะมีสมรรถนะเป็นอย่างไร เนื่องจากทางฟอร์ด ประเทศไทยไม่ได้ให้เราขับในเส้นทางถนนเปิดมากจนพอจะบอกได้
สรุป Ford Everst สบายเหมือนครอสโอเวอร์ แต่ลุยได้มากกว่า จะเป็นหนึ่งหรือเปล่า รออีกค่ายค่อยตอบ !!!
หลังจากได้ลองขับมาอย่างอิ่มหนำเต็มพิกัดทั้งเส้นทางบนถนน และ เส้นทางออฟโรด ในชั่วโมงนี้ต้องยอมรับว่า Ford Everest ใหม่เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ทีมาเหนือเมฆ ในด้านสมรรถนะการขับขี่และออพชั่น ที่ให้มาอย่างเต็มพิกัดจัดหนักอัดแน่น ครบครันทุกความต้องการ
ในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ Ford Everest 2.2 Titanium มันคือรถยนต์อเนกประสงค์ที่มาพร้อมความลงตัวในการขับขี่ ตอบความลงตัวในเรื่องสมรรถนะการขับขี่บนถนน ซึ่งตั้งแต่มีโอกาสทดสอบรถมา ต้องยอมรับว่า Ford Everest รุ่นนี้เป็นรถอเนกประสงค์ PPV ที่มีความคล่องตัวมากที่สุด มันขับง่าย แถมยังดูปราดเปรียว สะดวกต่อการควบคุม เป็นรถที่เชื่องในการขับขี่ ไม่ว่าคุณจะใช้ความเร็ว หรือเข้าโค้ง แถมยังนั่งได้สบายในการเดินทาง แม้ว่าข้อเสียเดียวคือมันจะไม่สามารถลุยทางสมบุกสมบันได้ แต่ถ้าคุณแค่ต้องการเอารถไว้เที่ยววันหยุดกับครอบครัว และไม่ได้ต้องการใช้เพื่อการลุย ความลงตัวในความประหยัด และประสิทธิภาพในการขับขี่จากเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ถือว่าเหลือกินเหลือใช้
ส่วนในด้านรุ่น 3.2 ลิตร Ford Everest 3.2 Titanium + ที่เรามีโอกาสขับเป็นคันที่สองนั้น ถือว่ามีสรรถนะการขับขี่ที่ดีในระดับที่น่าประทับใจ ทั้งบนถนนี่ให้ความรู้สึกมั่นคงมันใจในทุกเส้นทาง แถมยังเหนือชั้นในความสามารถทางด้านการบุกตะลุยเส้นทางในการขับขี่ มันเกิดมาเพื่อเป็นอเนกประสงค์ขาลุยขนานแท้
แม้ว่าจะต้องยอมรับว่า ระบบ Ford Terrain Management System อาจจะต้องอาศัยการเรียนรู้การใช้งานอยู่บ้าง ในยามที่คุณต้องใช้ขับมันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรค ทางโหด แต่ข่าวดีที่คุณควรรู้ใน Ford Everest เป็นรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นเดียวในตอนนี้ที่ระบบ TMS และฟังชั่น 4X4 Low และยังครบเครื่องด้วยเฟืองท้าย E Diff ล็อคเพลาหลังทำให้ไปได้มากกว่าในเส้นทางสุดโหด
แต่ท้ายสุดสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดไม่ว่าจะเป็น Ford Everest รุ่นไหนก็ตามที่เลือก มันคงหนีไม่พ้นระบบกันสะเทือนที่มีความนิ่งในการขับขี่ ทั้งบนทางลุยหรือบนถนนหลวง แถมการได้สไตล์ความเป็นอเนกประสงค์แท้ๆแบบอเมริกัน ที่มาพร้อมความบึกบึนและหรูหรา ช่วยให้เสน่ห์ในรถคันนี้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ภาพรวมของ Ford Everest ใหม่ในด้านสมรรถนะการขับขี่ถือว่า เป็นอีกรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีในทุกเส้นทาง ในวันนี้เรายอมรับความเป็นหนึ่งของมันในด้านการลุยทางออฟโรด ซึ่งพวกเขาโชว์ให้เราเห็นศักยภาพแล้ว ดั่งที่พวกเขาให้สโลกแกนว่า Engineer For Extraordinary แต่ในการเป็นที่หนึ่งต้องดีทุกด้าน รวมถึงด้านบริการหลังการขายไปด้วย ทว่าท้ายสุด เจ้า Ford Everest จะเป็นที่หนึ่งหรือไม่ คงต้องรอนกว่าเราจะมีโอกาสขับอีกสองโมเดลใหม่ที่ออกมาในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com
ขอบคุณ ฟอร์ด ประเทศไทย ที่เชิญทีมงานเข้าร่วมการทดสอบรถยนต์ Ford Everest ใหม่
เรื่องและขับทดสอบ โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook ,Twiter (@nattayodc)
รถทดสอบ Ford Everest
ราคาจำหน่าย
Ford Everest 2.2L Titanium 4x2 AT ราคา 1,269,000 บาท
Ford Everest 3.2L Titanium+ 4x4 AT ราคา 1,599,000 บาท
สิ่งที่ชอบ >>> สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะระบบกันสะเทือน ทำให้รถ Ford Everest ใหม่ มีความลงตัวในการขับขี่ ทั้งบนถนน หรือทางลุย แถมการพกระบบช่วยเหลือมามากมายในการขับขี่ ตั้งแต่ พวงมาลัยไฟฟ้า ไปยัง ระบบ TMS ยังมีส่วนช่วยให้รถขับง่ายมากขึ้น
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> น่าจะเรียกว่าเป็นดาบสองคม เมื่อระบบใน Ford Everest ส่วนใหญ่เป็นระบบไฟฟ้า ปัญหาจึงเหมือนกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป คือมันสามารถเกิดความผิดพลาดในการทำงานได้ แม้ว่าจะมีระบบเซฟการทำงานแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่มองรถระดับนี้ สิ่งที่พวกน่าจะต้องมากที่สุดคือความสมบูรณ์แบบ โดยยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องมั่นใจได้ และมันน่าหวั่นใจเล็กน้อย
สิ่งที่อยากให้มี >>> แม้ว่า Ford Everest จะมีออพชั่นต่างๆมากมายและค่อนข้างครบครัน แต่กลับมองข้ามบางอย่างไปอย่างงน่าเสียดาย โดยเฉพาะกุญแจแบบ Keyless น่าจะเป็นสิ่งที่ควรให้มาแต่กลับขาดหายไป รวมถึงเรามองว่าน่าจะมีรุ่นทางเลือก 2.2 4WD เป็นทางเลือกสำหรับ คนที่ต้อการรถลุย แต่ไม่ไดเน้นสมรรถนะแบบถึงกึ๋น
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ >>> เรื่องสมรรถนะบอกเลยว่า Ford Everest สามารถไว้ใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่คุณต้องมั่นใจว่าพร้อมผจญภัยเรื่องบริการหลังการขายของค่ายนี้
[GALLERY1529]