Hands On : MG6 1.8 Turbo Sedan ยุโรปราคาถูกที่คุณสัมผัสได้
- โดย : Autodeft
- 26 มิ.ย. 57 00:00
- 25,003 อ่าน
ในที่สุดก็เสร็จสมบุรณ์อีกคัน บททดสอบรถยนต์ที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารออยากจะทราบ MG6 ใหม่ รถจากอังกฤษทุนจีน จะเป็นอย่างไรในการขับขี่ ติดตามกันได้ในบททดสอบรถยนต์ MG6
เรื่องและขับทดสอบโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ถ้าหากเมื่อไรก็ตามที่คุณจะต้อซื้อรถยนต์มาครอบครองสักคัน โดยที่เงินทองนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับการใช้จ่ายนั้น เชื่อว้าไม่ว่าใครก็คงจะเบือนหน้าหนีจากค่ายรถยนต์ตลาด หันไปหาค่ายรถยนต์จากตะวันตก โดยเฉพาะรถยนต์จากยุโรปที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องสมรรถนะการขับขี่ พร้อมการออกแบบที่ลงตัวตอบโจทย์ได้ในความหรูหรา หรือจะอะไรก็ตามที่พวกเขาพยายามนำเสนอ
ชื่อเสียงแบรนด์ MG หรือ Morris Garage สำหรับคนรุ่นใหม่ อาจจะไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่คุ้นเคย ยิ่งยุคผู้เขียนเกิดด้วยแล้ว โตมากับรถยนต์ญี่ปุ่น รู้จักมักคุ้นรถยนต์ยุโรป ก็เพียงแบรนด์ดังๆ สามทหารเสือที่ดำรงตลาดมานานทั้ง Mercedes Benz , BMW และ Volvo ยิ่งเมื่อถามถึงรถอังกฤษน้อยคนมากจะรู้ว่า แดนผู้ดีก็มีรถยนต์มากมาย แต่ที่คุ้นก็คงจะเป็น Aston Martin , Jargaur หรือ Mclaren มากกว่าในยุคปัจจุบัน
ต้องย้อนกลับไปคนรุ่นราวคราวพ่อ จึงจะรู้จักแบรนด์รถยนต์จากเกาะอังกฤษรายนี้ และหลังจากห่างหายตลาดไปนาน MG กลับมาพร้อมตัวตนใหม่ที่ยังคงความเป็นยนตรกรรมจากเกาะอังกฤษ ทว่าใช้ทุนอาแปะจากจีน Saic Motor และเมื่อปีกลายพวกตดสินใจมาลงทุนลงตลาดในบ้านเราจับมือกับเครือ CP และท้ายเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมาหมาดๆ รถยนต์ MG6 ก็ได้ฤกษ์ลงตลาดรถยนต์อย่างเป็นทางการที่หลายคนเฝ้าจับตาในเรื่องของการขับขี่ไม่น้อย ด้วยคู่แข่งที่มีอยู่มากในตลาดปัจจุบัน
รถจีน..อีกแล้ว ....เชื่อเลยว่า เมื่อพูดว่าเป็นทุนจากจีนทุกคนจะคิดแบบนี้แน่นอนว่า MG 6 ต้องเกิดมาในแบบรถจีนเซินเจิ้นต้นทุนต่ำราคาถูก กะโหลกกะลา แต่ความจริงแล้ว ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้ปรับความคิดก่อนว่ารถคันนี้ ทั้งหมดออกแบบและวิศวกรรมที่ประเทศอังกฤษ จีนแค่เหมือนกระเป๋าเงินที่ช่วยจ่ายและมองว่ารถแบบไหนที่จะทำตลาดได้ เท่านั้นเอง
ตอนเจอ MG 6 ครั้งแรกตัวเป็นๆตั้งแต่ในงานมอเตอร์โชว์ 2014 ที่ผ่านมา ทางค่ายรถยนต์ MG โชว์ตัวตน MG6 ในแบบรถที่เป็นการออกแบบในสไตล์อังกฤษขนานแท้ตั้งแต่หัวจรดท้าย มาพร้อม 2 ตัวตนให้เลือก ได้แก่รุ่นซีดานแบบที่วันนี้ได้มีโอกาสสัมผัส และแตกต่างจากตลาดด้วยทรวดทรงท้ายลาด หรือ Fast Back ที่ห่างหายจากตลาดส่วนใหญ่ไปนาน ถาไม่นับเจ้าพวกรถยนต์ไฮบริดรักโลกอะไรทั้งหลาย
การออกแบบรถยนต์ MG6 ใหม่ เน้นความเป็นอังกฤษในแบบจีน ..กล่าวแบบนี้อย่างเพิ่งงง เพราะ MG6 เปิดตัวตนด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายดูเหมือนรถยนต์บ้านที่มาจากญี่ปุ่น หากในการออกแบบเหล่านี้แฝงด้วยกลิ่นอายความสปอร์ตตัวตนของรถยนต์ MG ที่สร้างความสปอร์ตในรถตังแต่เมื่อครั้นอดีตเป็นต้นมา
รายละเอียดที่ให้ตั้งแต่ไฟหน้าที่ดูเป็นทรงเมล็ดฟักทอง ให้อารมณ์สปอร์ตด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ที่ฉีกการออกแบบเรื่องการจัดวางชุดไฟหน้าใหม่ ทำให้มันมีความลงตัวในแบบที่แปลกแตกต่างแต่ยังดูสปอร์ต พร้อมกันชนหน้าที่เบิกกว้างทำให้รถดูปราดเปรียว ซึ่ง MG เรียกว่า Wind Breaker ทำให้รถดูสปอร์ตกว่ารถบ้านทั่วไป แต่ก็ยังชัดในความเป็นตัวตนแบบ MG ที่ต้องการนำเสนอออกมา
เส้นสายทางด้านข้างเน้นในรายละเอียดที่เผยถึงความเรียบง่ายในการออกแบบตามสไตล์ผู้ดี ซึ่งบางคนมองว่ามันเรียบไปจากดีเอ็นเอที่ต้องการความสปอร์ตถ่ายทอดออกมา ไม่เหมือนค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นบางเจ้าที่เน้นคมสันออกมาเด่นชัดสะดุดตา แต่เส้นสายเรียบๆแบบนี้ก็มีข้อดีตรงที่มันให้ดีกรีความหรูหราพร้อมกัน เพียงแค่เมื่อพูดว่ามันสปอร์ตจะดูมาเหมือนไม่เต็มที่ก็เท่านั้นเอง
ทางด้านหลัง MG6 ให้ตัวตนที่ชัดเจนเรื่องของความสปอร์ตมากขึ้น ด้วยไฟท้ายแบบ LED นำเสนอในแบบโคมดำดูลงตัวกับการออกแบบ ซึ่งในซีดานจะมีความโฉบเฉี่ยวมากกว่า รวมถึงกันชนท้ายชายล่างดำที่มาพร้อมท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่ตอบได้ลงตัวในความสปอร์ตในตัวตน
น่าเสียดายที่ต้องยอมรับว่า รถราคาระดับนี้ยังต้องเปิดกุญแจด้วยรีโมท ที่ต้องยอมรับว่ามันล้าสมัยไปบ้าง แต่ยังไม่ถึงขนาดพระเจ้าเหายังทรงพระเยาว์ และเมื่อขึ้นมา MG6 เปิดตัวตนในความสปอร์ตอีกครั้งในเรื่องการโดยสาร ด้วยห้องโดยสารสีดำทั้งคัน ที่ออกแบบมาให้รู้สึกได้ในสัมผัสความสปอร์ตโอบกระชับ ซึ่ง MG เรียกว่า Jet fighter Design ให้ความรู้สึกพุ่งทะยานนการขับขี่ ยิ่งเมื่อผสานกับการออกแบบเบาะนั่งคู่หน้าที่หย่อนตัวลงไป จะให้ความรู้สึกโอบกระขับที่ดีช่วงรองนั่งดี แต่พนักผิงหลัง ดูจะสั้นไปหน่อยไม่สูงเต็มถังช่วงไหล่คนสูง 180 ซม. อย่างผู้เขียน แต่คนไซส์เอเซียก็น่าจะลงตัวในการเดินทาง
จะว่าไปคนอังกฤษก็ชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย แบบดูดี พูดถึงอังกฤษเราคงจะรู้จักของแบบนี้ที่ส่วนตัวเรียกว่า Practical Design แต่นี่อาจจะเป็นจุดบอดที่ทำให้ MG6 ต้องประสบกับความไม่หวือหวาในเรื่องของลูกเล่นในห้องโดยสาร ซึ่งแนะนำตัวด้วยพวงมาลัย 3 ก้านมัลดิฟังชั่น ที่ดูแอบลุคหรูเอาไว้ รวมถึงหน้าปัดที่มาพร้อมจอแสดงผลตรงกลาง เรือนไมล์แสดงผลข้อมูลหลากหลาย ควบคุมด้วยการกระดิกนิ้วที่ easy มากๆ จนบางคนบอกว่ามัน easy เกินไปหรือเปล่า เพียงการเลื่อนขึ้นลงก็ทำให้ระบบเปลี่ยนค่าได้ ตรงนี้ก็คงต้องแล้วแต่คนด้วยกระมัง
ตรงกลางบรรจุระบบความบันเทิงที่ดูบ้านๆไม่หวือหวาสไตล์ Built in เอา เว้ย!! เปิดเพลงสักหน่อย ระบบความบันเทิง MG6 อาจไม่ทันสมัย แต่ใช้งานได้ดี ด้วยความง่ายดายในสไตล์ Practical แต่เอิ่ม!! มันไม่สมตัวในรถยนต์ราคาระดับล้านบาท 7 หลัก หรือ เปล่า คุณภาพเสียงก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรนักหน้า แถมไม่มีระบบเชื่อมต่อที่สำคัญอย่าง Blue Tooth ยังดีเหลือบเห็นสามารถอ่านผ่านระบบ USB ได้ ... แต่มันอยู่ไหนนะ...
เชื่อไหมว่า ทั้งผู้เขียนและเพื่อนร่วมทางใช้เวลานานมากในการงมโข่งว่า ช่องเสียบ USB มันอยู่ไหน จนสุดท้ายก็เจอด้วยการบอกของ พี่แบงค์ช่างภาพที่สนิทกันเป็นพิเศษ ซึ่งมารับจ๊อบนี้ จัดแจงชี้นำว่ามันอยู่ในลิ้นชักข้างคนขับ ที่สำคัญ อ่าว...งานเข้า มีแค่ช่องเดียว ซึ่งถ้าคุณต้องเสียชาร์จไฟ ก็คงต้องตบแปะพลัดกันชาร์จไฟ แต่ทีมวิศวกรมาบอกเราภายหลังว่า ไอที่คิดการออกแบบ แบบนี้ดีนะเก็บง่ายเป็นทีทางดี ..ตรงนี้เห็นด้วย เพราะขับไปหลังๆ ก็เข้าใจและโอเค แต่ เอ่ออีกขอช่องเสียบได้ไหม แล้วช่วยมันไปไว้ในเก๊ะลิ้นชักหน้า หากจะดีเลิศกว่านี้อีก เพราะ ในตรงที่ช่องเสียบ USB ถ้าคุณชาร์จไฟใช้สายยาว กล่องจะปิดไม่ได้ ต้องอ้าเอาไว้ตลอดทางจนกว่าที่คุณจะเลิกใช้ตรงนี้ต้องยอมรับตามสภาพกันไปเถอะว่าไม่เหมาะจริงๆ
ช่อง USB อาจจะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยในเรื่องของภายในห้องโดยสาร MG 6 เมื่อนับถึงเรื่องต่อไป คงจะต้องคิดติติงเรื่องการออกแบบภายในโดยเฉพาะชิ้นส่วนพลาสติก ที่น่าเสียดายว่า MG ใช้พลาสติกที่มีคุณภาพค่อนข้างดี แต่ดันทำ Texture Appearance ที่ดูแล้วเหมือนพลาสติกจากเมืองเซินเจิ้น จนดูไม่สมราคา ยังดีที่การเลือกใช้หนังยังให้รถดูมีคุณภาพในการเลือกวัสดุมาตอบโจทย์บ้าง ส่วนคุณภาพการประกอบ ผมให้ผ่าน!!
ถัดลงมาจากวิทยุเป็นชุดคันเกียร์ที่วางตำแหน่งในแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่เอ๊ะ!! ทำไม บนคันเกียร์มีตำแหน่ง W ตรงนี้งงสงสัย ก่อนจะได้คำตอบจากพี่คู่หูที่เป็นเด็กนอกว่ามันคือ Winter Mode หมายถึง โหมดการขับขี่บนถนนลื่นยามหิมะตก ซึ่งรถจะออกตัวด้วยเกียร์ 2 และมีการทำงานที่แตกต่างจากการทำงานทั่วไป ...ซึ่งจะว่าไปบ้านเราในโหมดนี้นี่แทบไม่ได้ใช้งาน เว้นแต่บนฝนตกถนนลื่น ยามนี้ก็อาจจะมีได้ใช้บ้าง แต่บอกตรงๆจะลดคอสตัดอันนี้ออกไปก็ได้นะ ทว่าก็พอจะเข้าใจได้ว่าเรื่องการวิศวกรรมต้องยกชุดมาจากอังกฤษ
เส้นประต้องตรงกัน จึงจะเป็นระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ..
รถ MG6 ทาง MG ต้องการให้มีความสปอร์ตมากที่สุดโชว์ความเป็นตัวตนขอองรถยนต์ MG แต่เชื่อไหมครับท่านผู้อ่าน MG6 มาพร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้า ซึ่งทำให้เรางงเต็กในเรื่องออพชั่นว่าจะสปอร์ตหรือจะเอาหรูกันแน่ เหมือนคนสับสนในชีวิตที่บอกไม่ถูกว่าจะเอายังไงดี
แต่ประเด็นหลักที่แปลกเลยคือ เมื่อเป็นเบรกไฟฟ้าจะมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะ ที่วางแก้วทั้งหลาย แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมีที่วางแก้วเพียงอันเดียว ถ้าคุณและแฟนซื้อกาแฟขึ้นมาทานก็ตัดสินเลือกให้ดี เพราะ ในรถมีทีเดียว ...
รวมถึงออพชั่นบางอย่างที่ดูมีอะไรมากกว่าแต่ไม่ได้เหนือคู่แข่ง แถมอาจจะใช้สัญลักษณ์จากยุโรป ทำให้ไม่คุ้นเคย อย่างเช่นระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ที่ต้องใช้วิธีการตั้งเส้นให้ตรงจุดตรงก้านสวิทช์ปัดน้ำฝน แทนที่คำว่า Auto แบบที่เราคุ้นเคยเป็นต้น รวมถึงไฟหน้าที่รวมกับไฟตัดหมอก ถ้าไม่บอกคุณจะไม่มีทางหาเจอเลยเพราะต้องดึงออกมา หรือจะเป็นหลังคามูนรูฟที่ดูเค้าท่าด้วยฟังชั่นทำงานด้วยการบิดหมุนเพื่อเปิดหรือปิด แต่เมื่อมองภาพรวมภายในห้องโดยสารที่มีคุณภาพ ทว่าดูจะยังคลุมเครือเรื่องตัวตนในจิตวิญญาณว่าสรุป MG6 จะเป็นรถหรู เอ!! หรือจะเป็นรถสปอร์ต
น่าจะเรียกว่าทุกคนที่สนใจ MG6 ใหม่น่าจะกระเหี้ยนกระหือรือ ในเรื่องสมรรถนะการขับที่ปลุกเร้าตั้งแต่ตำนานความสำเร็จของ MG ที่ต้องถ่ายทอดสมรรถนะรถยนต์สนามแข่งสู่ท้องถนน ที่ต้องลงตัวต่อการใช้งาน
จะว่าไปการชูสมรรถนะการขับขี่ขึ้นมาทำให้ MG6 อยู่ในสายตาใครหลายคนที่มองหารถยนต์คอมแพ็คคาร์ที่ตอบความแตกต่างในการขับขี่ ด้วยสมรรถนะการขับขี่ ไม่ว่าจะมาจากอังกฤษเอง หรือจะการส่งโฆษณาที่ทำให้หลายคนสามารถสัมผัสได้ ว่า นี่มันรถจากสนามแข่งคัน
และเมื่อถึงเวลาที่เราจะสัมผัสสมรรถนะรถยนต์ MG 6 ใหม่ ก็ได้เวลาที่เราจะเจอของจริงในสมรรถนะการขับขี่ของรถคันนี้ กัน....
รับกุญแจ ช่วงต่อจากคู่หูเรา ที่เขามาถึงช่วงวังมะนาว โดยปลายทางวันนี้ เราจะขับไปยังหัวหิน จุดหมายปลายทางที่ง่าน ใครก็เคยมา อย่างแน่นอน
ตัวกุญแจของรถยนต์ MG6 นั้น ถือว่าทำลักษณะออกมาดี แต่เมื่อถึงเวลาจะต้องขึ้นรถกลับไร้ระบบพวก Smart Entry หรือ Keyless Entry ทำให้รถดูเอาท์โบราณไม่ทันสมัยไปโดยปริยาย และนั่นคงจะสร้างความหงุดหงิดให้ใครหลายคน โดยเฉพาะ บรรดา Gen Y ที่ชอบความไฮเทค
สิ่งที่น่าสนใจใน MG6 คือการพยายามพรีเซนท์ในความเป็นรถยนต์จากสนาม กุญแจรถถูกทำให้เป็นสวิทช์ในตัวไปด้วยกันให้คุณเสียบแล้วกด กลายเป็นตัวสตาร์ทเครื่องยนต์แบบในโฆษณาที่เราเห็นกันผ่านตา โดยวันนี้ที่ขับโชคดีที่เราได้มีโอกาสจับ MG6 Sedan 1.8 Turbo
ด้านหน้าใต้ฝากระโปรงเรา MG แนะนำ เครื่องยนต์ที่พวกเขาเชื่อว่าจะตอบโจทย์ในการขับขี่ได้อย่างแน่นอน ด้วยการยัดเทอร์โบเข้ามาประกบกับเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ที่พัฒนามาตั้งแต่เมื่อครั้ง MG ยังอยู่กับไครสเลอร์ ย้อนไปตั้งแต่ปี 2005 โน่น
ถ้าจะนับล่ะก็มันก็เกือบ 10 ปีแล้วที่เทคโนโลยีเครื่องยนต์บล็อกนี้ถูกเติมเข้ามา แต่จะว่าไปความเก่า ด้วยเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบชาร์จ อินเตอร์คูลเลอร์บล็อกนี้ก็ยังคงความเก๋า ด้วยสมรรนถะ 161 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที และเช่นกันมันก็ยังทำแรงบิดได้ค่อนข้างสูงพอตัวเลยทีเดียว ได้ 215 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที ส่งลงชุดเกียร์คลัทช์คู่ 6 สปีด ซึ่งเอากันตามจริง สมรรถนะระดับนี้นี่แหละที่ทำให้หลายคนมองมาหาค่ายรถยนต์รายนี้
เมื่อขึ้นขับจริง ถ้าคุณเป็นคนคาดหวังว่าสมรรถนะของ MG6 จะเทพ ประดุจรถแข่งมาจุติในการขับขี่ คงต้องบอกก่อนว่าอย่าหวังมาถึงขนาดนั้น จริงอยู่เครื่องยนต์บล๊อกนี้เป็นเครื่องเทอร์โบชาร์จ แต่มันไม่ใช่รถแต่งที่ดึงได้หงายหลังตึงในการขับขี่ แม้ว่าตัว MG เอง จะเคลมอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลาไม่เกิน 9 วินาที ด้วยซ้ำไป
หากในสัมผัสความรู้สึก MG 6 กลับไม่ได้ทำให้มันรู้สึกแรงมากมายอะไรอย่างที่คิด ส่วนหนึ่งด้วยกำลังแรงม้าที่ไม่ได้มากมาย แต่เมื่อขับขี่จริงแรงบิดที่หนักแน่น จะทำให้รถออกไปในความก้ำกึ่งของเครื่องยนต์ดีเซลที่เร่งทันใจในช่วงจังหวะเร่งแซง มากกว่า
และอัตราที่พุ่งๆ ทำให้ Porsche 911 Turbo ที่แซงเราไปช่วงก่อนทางตรงชะอำหมั่นไส้ เอาเห็นรถ MG6 วิ่งเร็วแทรกดีมุดไปมาตามภาษารถขับสนุก พอพี่ท่านเห็นเรามาใกล้ ก็ดันแกล้งตบเกียร์เร่งปรู๊ดหนีตายไปข้างหน้า ทำเอาเหวอ!! ว่าไปทำอะไร แต่จนแล้วจนรอด ไส้กรอกหรือจะสู้ผู้ดี เพราะรถมากการจราจรคับคั่งแบบนี้รถที่มีแรงบิดดีได้เปรียบในการขับขี่มากกว่า
ส่วนถ้าใครบ้าพวกความเร็วมากในเวอร์ชั่นที่จะออกมาขายจำหน่ายจริงจะล๊อคกล่องไว้ที่ 193 ก.ม./ช.ม.ทว่าเราก็สามารถทำความเร็วได้ 205 ก.ม.ช.ม.ในรถทดสอบ แต่เชื่อเถอะว่าตัวเลข 180 ก.ม./ช.ม. สามารถทำให้ถึงได้ง่ายกว่าที่คาด ทว่ากว่าจะทันใจคุณต้องผ่านด่านสำคัญไอเจ้าชุดเกียร์คลัทช์คู่ 6 สปีด คู่หูตัวฉกาจที่กลายเป็นหอกข้างแคร่ในการขับขี่ ตลอดการเดินทางใน MG6
180 ไม่ใช่เรื่องยากใน MG6 และยังมั่นใจได้
ถ้าเครื่องยนต์ดีแต่เกียร์ไม่ดี ก็เหมือนสามีภรรยาที่มีอันต้องเลิกรากันไป แต่ทั้งหมดมันสามารถหันหน้าคุยกันได้เพื่อทำให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้น มุมมองนี้ก็เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ดีเร่งเร้าใจ แรงบิดมาเต็ม ยิ่งสู่อุตส่าห์ทำแรงบิดแบบ Flat Torque แนวระนาบมาด้วยแล้วนั้น ลากให้ตั้งแต่ 2,000-4,500 รอบด้วยแล้ว มันต้องดีขับสนุกเร่งระทึกได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่า MG6 ดันเจอระบบควบคุมชุดเกียร์ที่เป้นกล่องพวกหัวช้ากว่าจะคิดกว่าจะปรับบางที่เราเสียจังหวะในการขับขี่ไป เช่น คุณจะต้องเร่งแซงในช่วงทางเลนสวนการเข้าเกียร์ตบเกียร์ลงทำความเร็ว เรียกอัตราเร่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญพอสมควร ซึ่งจะตัดสินในการขับขี่ ที่อาจจะหมายถึงอันตรายระหว่างรอด หรือไม่ก็อุบัติเหตุในหลายๆ จังหวะการขับขี่
เท่าที่สังเกตเจ้าเกียร์คลัทช์คู่ใน MG6 นั้นเป็นชุดเกียร์ที่พิเศษจริงการขึ้นเกียร์เร็วจริงตามที่ MG เคลมในตัวเลข 0.2 วินาที แต่กว่าเจ้าสมองกลเกียร์ ECU ของระบบจะคิดอ่านและทำงาน มันเชื่องช้าเสียเหลือเกิน แต่กลับกันถ้าสมมุติคุณต้องการสับเองเอามันส์ปัญหานี้จะไม่เกิด แต่คุณจะใช้ Paddle Shift ได้ต่อเมื่อโยกเข้าสู่ Manual Mode เท่านั้น
การขึ้น-ลงตำแหน่งเกียร์ช้าต้องคิดนาน มันทำให้เรานึกถึงเวลาเราเข้าร้านโชว์ห่วยที่มีอาแป๊ะจีนฮีอยู่ในร้าน แล้วเราเข้าไปบอกว่าจะซื้อของบางอย่างสมมุติว่า เป็นหมากฝรั่งรสองุ่น แป๊ะคนนั้นก็จะถามเรากลับว่า “เลี้ยวลื้อจะเอาแบบไหน ยี่ห้ออาไร” ก่อนแปะจะคิดได้ว่าจะหยิบของอย่างดีมาให้เราแล้วปิดจ๊อบในการขาย จบทุกคนแฮปปี้ แต่กลับกันเหตุการณ์เดียวกัน ถ้าเราบอก แป๊ะล็อตเต้ รสองุ่น แป๊ะแกหยิบให้ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องตอบคำถามหรือตรวจสุขภาพใดๆ เลย
ตรงนี้แหละที่เป็นจุดบอดของ MG6 ที่สำคัญเลย ยิ่งใครชอบขับสมรรถนะแรงการขึ้นลงเกียร์ที่เร็วถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยในการขับขี่ แต่หลังจากเริ่มรู้ลักษณะการทำงานของเกียร์ ที่ Take Time To Action ทำให้เราเริ่มจับจังหวะได้ และ ทำให้เราสังเกตเห็นว่าชุดเกียร์ MG6 มักจะขึ้นเข้าสู่ตำแหน่งเกียร์ 6 อย่างรวดเร็ว อาจจะเพื่อสร้างอัตราประหยัดในการขับขี่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่าหลายครั้งหลายหนในระหว่างการเดินทาง กลับพบว่าชุดเกียร์คลัทช์คู่ ไม่ค่อยยอมจะลดตำแหน่งเกียร์ลงมา ยิ่งบางจังหวะการเร่งแซงพยายามให้เราสวนคันเร่งลงไป ทั้งที่ความจริงแล้วการใช้ชุดเกียร์ช่วยจะทำให้ได้ฟิลลิ่งความสปอร์ตมากกว่า ก็ทำให้ MG6 ดูจะขาดตัวตนทางด้านนี้ไปบ้าง และหลายจังหวะ เมื่อเราจุ่มคันเร่งลงไปมากเพื่อจะต้องเค้นกำลังเกียร์ก็ปรับตำแหน่งให้ โดยถ้าเหยียบคันเร่งเกินครึ่ง จะปรับไปสู่ตำแหน่งเกียร์ 5 แต่ถ้าเกินกว่านั้น มันจะปรับ 2 จังหวะทันทีคือ 6-5-4 เพื่อให้ทันใจ ซึ่งบางครั้งก็งงว่าทำไมไม่ทำให้เกียร์ปรับทันทีเมื่อมีการกดคันเร่งเริ่มลึกกว่าปกติ และถ้าขึ้นลงเกียร์ได้เร็วกว่านี้ก็จะดีมากขึ้นในเรื่องสมรรถนะการขับขี่
เรื่องชุดเกียร์ทางเราได้คอมเม้นท์ไปกับทาง MG แทบจะทันทีหลังจากถึงที่หมายปลายทางวันนี้ แต่แง่หนึ่งที่ได้รับการชี้แจงมาคือเกียร์ต้องการการเรียนรู้จากผู้ขับขี่ก่อน แถมรถที่มาถึงมือเรายังรันอินไม่ครบด้วย ตามที่ทางทีม MG อ้างกับเรา ในช่วงขากลับในวันต่อมา ก็เลยต้องขอลองอีกรอบกัน
ยิ่งขับยิ่งดี .คำนี้ทำให้รถ MG6 เริ่มเข้าเค้าสมรรถนะมากขึ้นเมื่อเราขับมันกดเต็มมาแรงๆในระหว่างทาง โดยช่วงทางว่างหัวหิน เราจับเกียร์สอนมวยพยักเพยิดกับการเดินคันเร่ง 3-4-5-6 เอาให้มันจำกันไปเลย และเมื่อผ่านชะอำ การทำงานของเกียร์ก็เข้าเค้ามากขึ้น แต่เรื่องการลดอัตราทดช้านั้น ยังเป็นเหมือนเดิม...ตรงนี้ต้องพิจารณาปรับปรุงตรงระบบสั่งการเกียร์แล้วล่ะครับเจ้านาย!!
เรื่องเกียร์อาจจะเป็นประเด็นใหญ่ตัวโต สำหรับรถที่บอกว่าสมรรถนะเจ๋งขับได้ดุจรถในสนามแข่ง แต่ชุดเกียร์อาแป๊ะกลับทำให้มันเสียอรรถรสในการขับขี่ไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่อยู่ใน MG6 นั้น สิ่งที่ต้องชมเชยเลยคือระบบกันสะเทือนที่วางใจได้ในทุกเส้นทางการขับขี่จริงๆ ไม่ว่าจะถนนเรียบ ถนนขุรขระ หรือ ฝนตก MG6 ไม่หวาดหวั่นในเรื่องการเกาะถนน ด้วยการเซทระบบกันสะเทือนรถยนต์ MG6 ด้วยแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงทางด้านหน้า ส่วนด้านหลังเลือกใช้กับ ระบบช่วงล่างอิสระมัลติลิงค์ Z Type พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่ง MG มั่นใจมากในการยืนยันว่ารถของพวกเขามีระบบกันสะเทือนที่ดีที่สุดในคลาสคอมแพ็คคาร์
และจากที่ขับขี่มาตลอดการเดินทางนั้น เรายืนยันว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง แต่บางคนอาจจะไม่ชอบฟีลลิ่งการขับขี่ในแบบรถยุโรปที่แลดูเหมือนหนักๆ ที่ช่วงล่างเมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่เบาหวิวขับสบายและเกาะถนน แต่การเซทระบบกันสะเทือนใน MG 6 เน้นไปที่การออกแบบให้ช่วงล่างมีการการถนนที่ดีชุดโช๊คทางด้านหน้าแข็งกว่าด้านหลังนิดหน่อย เพื่อให้ตอบโจทย์ความสบายในการโดยสารของตอนหลังมากขึ้น ส่วนชุดสปริงเน้นยึดตัวตอบสนองเร็ว ซึ่งเมื่อผสานกับการทำงาน ช่วงล่าง MG6 จะออกมาในสปอร์ตหรู ที่คุณยังนั่งได้สบาย จนคู่หูที่นั่งข้างเราตลอดการเดินทาง ยืนยันว่ามันนั่งสบายกว่าใน MG6 ด้วยการพล้อยหลับไป ...เกือบตลอดทาง
ส่วนระบบเบรก MG6 ซึ่งให้ระบบดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน รวมถึงระบบทำความสะอาดในตัวในรุ่นท๊อปอย่างที่เราขับนี้ ความรู้สึกในการหยุดนั้นมันดูนุ่มไปแบบผู้ดีขับรถ ดุจะขัดตัวตนในความสปอร์ตเล็กน้อย รวมถึงในช่วงความเร็วต่ำพบว่ามีเสียงเหล็กเสียดสีผิดปกติ คาดว่าอาจจะมาจากระบบทำความสะอาดหรือไม่ MG ก็เลือกผ้าเบรกเกรดสมรรถนะสูงมาใส่ใน MG 6 ก็อาจจะเป็นไปได้
แม้ว่าช่วงล่างจะลงตัวแต่สิ่งหนึ่งที่ MG6 คงต้องกลับไปทำการบ้านอย่างหนักคงเป็นเรื่องของระบบพวงมาลัยแบบไฮโดรลิกที่อาจจะทำให้กล้ามขึ้นได้เมื่อใช้ความเร็วต่ำสำหรับท่านชาย และหนักมือไปพอสมควรสำหรับผู้หญิง แต่เมื่อล้อหมุนใช้ความเร็วน้ำหนักพวงมาลัยจะดีขึ้นเองโดยธรรมชาติของมัน แม้ว่า MG6 อาจจะไม่ใช่รถที่ทุกอยากจะซื้อไปทำความเร็วต่ำในเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า รถคอมแพ็คคาร์ก็มีไม่น้อยที่ขับใช้งานทั่วไป และเขตเมืองก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
สรุปโดนใจในตัวตน แต่ยังมีหลายอย่างต้องกลับไปทำการบ้าน
ลงจากรถ MG6 หลังเสร็จสิ้นการทดสอบยอมรับแง่หนึ่งว่า MG6 เป็นรถที่มีอารมณ์สปอร์ตในการขับขี่อย่างเปี่ยมล้น จนหาที่สุดไม่ได้ ถ้า MG กลับไปทำการบ้านบางอย่างโดยเฉพาะในเรื่องของระบบเกียร์ ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเลยทำให้รถยังไม่ลงตัวในความสปอร์ตอย่างที่หลายคนอาจจะวาดหวังไว้
รวมถึงภายในห้องโดยสารที่ต้องไปเรียนรู้วิช้าจาก Toyota ที่สามารถทำวัสดุทั่วไปให้ดุดี แต่ MG กลับมีวัสดุคุณภาพดีแต่ทำลุคออกมาได้รู้สึกว่า Look Cheap ไปหน่อย เมื่อเทียบกับราคาระดับล้านบาท รวมถึงลูกเล่นในรถอาจจะไม่มากมายหวือหวา เมื่อเทียบกับค่ายญี่ปุ่นที่มีอะไรๆให้มากกว่า กับผู้บริโภค
ที่สำคัญอยากให้ MG หาจุดขายที่แท้จริงของตัวเองให้เจอว่าอยากจะขายอะไร เช่น ถ้าหากจะขายสมรรถนะในการขับขี่ สมรรถนะก็ต้องเด่นออกมาเลยอย่ากั้กว่า รถขับดีเร่งแรง แซงมันส์ มีอะไรโชว์ออกมา ไม่ต้องไปคิดมาไอเรื่องความประหยัดคนอยากขับรถเอามันส์ น้ำมันมีปัญญาเติมได้อยู่แล้ว
ท้ายสุดในใครสงสัยว่า MG6 มีอัตราประหยัดเท่านั้น ขอบอกก่อนว่าการเดินทางในวันนี้ ใช้ความเร็วพอสมควร เดินทางนอกเมืองที่ความเร็ว 130-150 ก.ม./ช.ม. ตามแต่สภาพถนน ระหว่างทางเจอฝนตก บวกกับขับในเมืองนิดหน่อยก่อนส่งมอบรถคืน MG น่าแปลกที่รถทำอัตราประหยัดได้ถึง 9.3 ลิตร/100 ก.ม ถือว่าดีเกินคาด และมีพื้นที่มากพอที่ทำให้ MG6 กลายเป็นรถสมรรถนะที่มีความประหยัดในการขับขี่
MG6 มีหลายอย่างที่ลงตัวเพียงแต่อาจจะต้องเกิดความเข้าใจก่อนในการใช้งาน ซึ่งบางอย่างที่เป็นแนวความคิดอังกฤษอาจจะทำให้ชีวิตคุณสับสนอลหม่านในการขับขี่บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องที่ MG พยายามชูใน MG6 โดยเฉพาะสมรรถนะถือเป็นข้อดีที่โดดเด่นเกินตัว การบ้านที่เหลือแค่ปรับความคิดให้ทันสมัยในเรื่องการออกแบบพลาสติกในห้องโดยสาร รวมถึงขอลูกเล่นที่ดูทันสมัยเพิ่มขึ้นไม่เอาชุดวิทยุที่ดูเหมือนฟังทรานซิสเตอร์จีน และปรับจูน Re-Clibrate เกียร์คลัทช์คู่นี้ใหม่เสีย MG6 ก็จะลงตัวมากกว่านี้จนกล้าฟันธงว่า คอสมรรถนะทุกคนที่มาขับจะต้องรักและหลงใหลในความเป็น MG ……
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com
เรื่องและขับทดสอบโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ขอบคุณคาราวาน บริษัทเอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมในการทดสอบ MG6
ผลการทดสอบรถยนต์ MG6 1.8T DCT X Sedan
รถยนต์ MG6 1.8 T DCT X Sedan
ราคาจำหน่าย1,118,000 บาท
สิ่งที่ชอบ >>> สมรรถนะของเครื่องยนต์ และช่วงล่างที่ทำให้ MG6 มีการขับขี่สนุกสนานได้อย่างไม่น่าเชื่อ
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> เกียร์โง่เกินไปในหลายจังหวะ ทำให้ เสียจังหวะในการขับขี่ พลาสติกภายในห้องโดยสารที่ดูเป็นของราคาถูกทั้งที่คุณภาพวัสดุใช้ได้ และท้ายสุด เพิ่มลูกเล่นบ้างในรถ เพราะดูไม่มีอะไรหวือหวาในการขับขี่นัก
สิ่งที่อยากให้มี >>> ถ้าต้องการความสปอร์ตจริงชูจุดเด่น คงต้องพิจารณาเกียร์ธรรมดาในรุ่นเทอร์โบ สำหรับคนที่ชอบ อาจจะทำออกมาเป็นรุ่นพิเศษราคาไม่แพง ให้คนจับได้ รับรองว่าน่าจะขายดีทีเดียว
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ >> ด้วยความเป็นผู้ดีจากอังกฤษ ทำให้คุณอาจจะต้องเข้าใจในตัวรถก่อนเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากมัน ก่อนที่จะขับได้อย่างสนุก มีหลายอย่างที่เราหลายคนอาจจะไม่มักคุ้นกับตัวตนรถยนต์จากยุโปรด้วยแนวคิดแบบอังกฤษ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการขับขี่ถ้าไม่นับว่าชุดเกียร์ยังตอบโจทย์ได้ไม่เต็มที่ มันก็ลงตัว..
[GALLERY572]