Full Review : FORD Everest ลุยพันธุ์บึก...อเมริกันสไตล์
- โดย : Autodeft
- 3 ต.ค. 58 00:00
- 40,830 อ่าน
พบบทดสอบเต็มๆ ครั้งแรกของรถยนต์อเนกประสงค์สไตล์อเมริกัน Ford Everest ใหม่ที่พรั่งพร้อมครบครันด้วยออพชั่นการขับขี่
เรื่อง ภาพ และขับทดสอบ โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
จะซื้อรถยนต์สักคันสำหรับใครบางคน ...พวกเขาอาจจะไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ...
แต่กับอีกหลายๆคนแล้ว ซื้อรถยนต์สักคันต้องดูแล้วดูอีก ศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนครบครัน ไม่เว้นกระทั่งอ่านรีวิวจากสื่อมวลชนหลายแขนงที่บ้างชี้นำบ้างเป็นกลาง แต่ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกรถยนต์สักคันมาเป็นรถคู่กายก็ไม่ใช่เรื่อง่าย ยิ่งกับรถยนต์ ซึ่งในวันนั้นคุณอาจจะต้องตัดสินใจ ร่วมกับคนเคียงกาย ที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน รถอะไรที่คุ้มค่า ....มักจะจบลงที่คำว่า “รถอเนกประสงค์” เสมอ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รถยนต์อเนกประสงค์เริ่มแนะนำตัวเข้าสู่ตลาดเมื่อ 20 ปีก่อน โดยประมาณ รถยนต์อเนกประสงค์กลุ่มที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี คงไม่พ้นรถยนต์อเนกประสงค์ที่พัฒนาบนพื้นฐานจากรถยนต์กระบะ ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย ซึ่งรถกลุ่มนี้ถูกนิยามจากค่ายรถยนต์ยอดนิยมของคนไทยรายหนึ่งว่า มันคือ Pick Up Passenger Vehicle หรือ PPV และจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้มีค่ายรถยนต์มากมายหลายยี่ห้อที่เข้ามาเล่นในตลาดกลุ่มนี้ รวมถึงค่ายรถยนต์จากอเมริกา สัญลักษณ์วงรีสีน้ำเงิน นาม “ Ford”
รถทดสอบ Ford Everest 3.2 Titanium +
แม้จะมีปัญหาศึกรอบด้านทางด้านบริการหลังการขาย แต่ต้องยอมรับว่าทางด้านผลิตภัณฑ์ที่ทางค่าย Ford หมายมั่นปั้นมือเขามาวางจำหน่าย พวกเขาจัดหนักจัดเต็มเสมอ ยิ่งกับรถยนต์อเนกประสงค์กลุ่ม PPV (ซึ่งในต่างประเทศเรียกว่า SUV) ค่ายวงรีสีน้ำเงินถือว่ามีพื้นฐานความแกร่งและฟังชั่นการใช้งานเพียบ... ที่พร้อมจะยกมาใส่ไว้ในรถยนต์ของพวกเขา
Ford Everest ชื่อแกร่งดุจหินผาที่สูงที่สุดในโลก กลายเป็นความหวังต่อไปของค่ายรถยนต์รายนี้ เมื่อพวกเขาเปิดตัวต้นแบบออกมาบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะแตกต่างไปจากเดิมที่ทำตลาดมายาวนาน การเผยโฉมรุ่นใหม่อย่างเป็นทางการเริ่มจากการมาเตะตัดขาคู่แข่ง จากการเปิดตัวต้นแบบย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 ครั้นงาน Bangkok International Motor Show 2014 ก่อนในปีนี้จะได้ฤกษ์เผยเวอร์ชั่นวางจำหน่ายจริง อย่างเป็นทางการ
หลายคนคงจำได้ กับรีวิวครั้งนั้น “Ford Everest วิศวกรรมเพื่อเป็นหนึ่ง...??” ซึ่งสัมผัสแรกของรถยนต์อเนกประสงค์ Ford Everest ก็ทำให้เราสนใจมันมากมาย แต่ท้ายที่สุดการขับในเส้นทางที่กำหนด คำนวณมาอย่างดีและโชว์ศักยภาพอย่างเต็มที่ให้เราได้สัมผัส ...ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้เท่าการใช้งานจริง!!!!
หลังจากขับรถยนต์อเนกประสงค์กลุ่ม SUV ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ(PPV) มาครบทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะกับคู่แข่งสำคัญ..ที่ก็รู้ว่าใคร ..ก็คิดว่าถึงเวลาที่ต้องโทรหา อ้อมใจ .... เพื่อน PR ที่เพิ่งมารับตำแหน่งที่ ฟอร์ด ประเทศไทย เสียที
Ford Everest 3.2 ครบเครื่องออพชั่น พร้อมสรรพเรื่องลุย
Engineering For Extraordinary .... สโลแกนสำคัญที่ทำให้ ผมเริ่มต้นสนใจเจ้ารถยนต์อเนกประสงค์คันนี้เป็นครั้งแรก หลังจากที่มีโอกาสชมวีดีโอบน youtube ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวการมีรถสักคัน ที่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิต ผ่านการขับขี่ที่พร้อมจะเดินทางไปกับคุณทุกที่ทุกเวลา
Ford Everest จะเป็นรถคันนั้นหรือไม่ ...เวลาแห่งการพิสูจน์มาถึงแล้ว หลังจากที่ติดต่อยืมรถสำเร็จด้วยขั้นตอนง่ายไม่ยุ่งยากวุ่นวาย ...อีกคร้งที่พบหน้าคุณเต้น ที่พร้อมจะให้เราเอาเจ้าอเนกประสงค์แกร่งคันนี้ไปท้าพิสูจน์กัน
เรือนร่าง Ford Everest ใหม่ เห็นครั้งแรก มันค่อนข้างให้ความประทับใจ และครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากรับกุญแจมาจากคุณเต้น เรายืนอยู่ในโกดังรถฟอร์ด ให้อารมณ์คล้ายคุณอยู่ในเกม Need for Speed แต่วันนี้ในทิวแถวของ Ford Everest เรารู้สึกถึงความน่าสนใจในเส้นสายการออกแบบมากขึ้น
หลายคนมองว่าเส้นสายการออกแบบของ Ford Everest ค่อนข้างดูโบราณไปนิด แต่ลุคแบบนี้นี่แหละที่ทำให้มันน่าหลงใหลดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อด้วยการผนวกเอาความหรูหราเข้ามาเสริมทัพการออกแบบ เริ่มจากกระจังหน้าสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีความลงตัวในสไตล์หรูผ่านกระจังหน้าโครเมี่ยม ให้เอกลักษณ์ละม้ายคล้าย Ford Territory รุ่นใหญ่ที่ทางฟอร์ดจับหลีกทางให้เจ้า Everest เข้ามาทำตลาด ด้านหน้าดูมีความลงตัวมากขึ้นเข้ากับไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ HID ปรับสูงต่ำอัตโนมัติ แถมยังมากับที่ทำความสะอาดไฟหน้า ในโคมยังมีชุดไฟ Day Time Running Light เพิ่มความปลอดภัยให้ความภูมิฐาน และดูหรูหรา
รวมถึงแม้จะเป็นรถยนต์อเนกประสงค์เพื่อการลุย ทางทีมนักออกแบบและวิศวกรของค่ายวงรีสีน้ำเงินก็ยังไม่ลืมที่จะให้ความใส่ใจตามหลักอากาศพลศาสตร์ รวมถึงเพิ่มความลงตัวด้วยการให้ชายล่างสีเทาซิลเวอร์ ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น
การออกแบบทางด้านหน้าที่ลงตัวทางด้านข้าง Ford Everest 3.2 Titanium + ตอบความบึกบึนเริ่มต้นตั้งแต่ซุ้มล้อขนาดใหญ่ให้หน่วยก้านดูถึกพร้อมลุยมากขึ้น ส่วนมือจับประตูทั้งสี่ ถูกออกแบบให้เป็นโครเมี่ยมดูมีความลงตัวในเรื่องความหรูรับเข้ากับทรวดทรงรถที่บอกลุคลุยเต็มพิกัด ตลอดจนกระจกมองข้างขนาดใหญ่ที่มีระบบไล่ฝ้ามาให้เสร็จสรรพ ตัวกระจกเองเก็บรายละเอียดมากขึ้น ด้วยมุมโค้งที่ปลายกระจกเพิ่มการมองเห็นมากขึ้น รวมถึงในกระจกยังมีระบบ Blind Spot warning System และยามค่ำคืนยังมีไฟส่องสว่างข้างตัวรถ อีกด้วย
บนหลังคาใน Ford Everest 3.2 Titanium + พร้อมสรรพเรื่องการใช้งานด้วยชุดราวหลังคา หากต้องการติดตั้งพวกแร็คเอาไว้ขนของ แต่สำหรับคนที่มีสไตล์ ตัวรถก็ยังดีด้วยชุดหลังคาแก้ว Panoramic Sunroof เพิ่มองค์ประกอบของความลงตัวในการใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม
พวงกุญแจแบบรีโมทธรรมดา ส่วนตัวมองว่าค่อนข้างที่จะไม่สมราคารถยนต์ที่มีค่าราคาระดับล้านกลางๆ แถมมิหนำซ้ำกุญแจรีโมทแบบธรรมดา ทำให้ขาดระบบ Keyless Entry เช่นเดียวกันคุณยังจะไม่ได้ระบบปุ่มสตาร์ท ซึ่งสมควรจะมีมาให้ แต่ที่ Ford พลาดที่สุด คือแม้มันจะต้องเป็นการเสียบกุญแจสตาร์ท ทว่าทางวิศวกรลุงแซมก็ไม่ให้แม้ไฟส่องตัวสวิทช์กุญแจซึ่งจะช่วยให้สะดวกมากขึ้นในยามค่ำคืน
มองตรงหน้า Ford Everest ตอบตัวตนเริ่นต้นด้วยความหรูหราตามแบบฉบับรถอเมริกันที่ต้องมีออพชั่นแบบจัดเต็ม เริ่มจากพวงมาลัยมัลติฟังชั่นที่ครบครันด้วยการออกแบบชุดปุ่มต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะระบบเครื่องเสียง ตลอดจนการรับ-วางสายโทรศัพท์ ไปจนกระทั่งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือ Cruise Control
การแนะนำหน้าจอแบบ Dual TFT ให้เสน่ห์ลงตัวมากขึ้นผ่านในเรื่องความทันสมัย ด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของรถมาบอกค่าต่างๆที่จำเป็นต่อการขับขี่ทางฝั่งขวา สามารถเลือกปรับได้มากมายหลายรายการ ทั้งวัดรอบเครื่องยนต์,วัดความเร็ว, วัดมุมไต่ – มุมเอียง,ความร้อนของน้ำในหม้อน้ำ ส่วนตรงกลางบอกเรื่องของความเร็วในขณะขับขี่
และท้ายสุดทางฝั่งซ้ายเป็นหน้าจอแสดงผลของระบบ Sync 2 ซึ่งสามารถสั่งการณ์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส แต่ด้วยฟังชั่นมากมายของระบบ Dual TFT มาตรวัดใหม่ของรถยนต์ Ford ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อาจจะทำให้คุณต้องเรียนรู้วิธีการใช้งานก่อนในระยะแรก ๆ แต่เมื่อคุ้นเคยระบบก็จะใช้งานได้ง่ายดายมากขึ้น
ตรงกลางคอนโซลหน้า Ford บรรจุระบบความบันเทิง Ford Sync 2 มาให้ โดยระบบดังกล่าวมีการอัพเดทการทำงาน ทั้งในไฮไลท์สำคัญกับการสั่งการด้วยเสียงที่สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ระบบจะตอบสนองในการทำงานได้ดีแม้คุณจะ speak ภาษาไม่เก่งก็ตามที ตลอดจน ไม่ต้องเดาเรื่องคำสั่งให้ยุ่งยาก เพราะคุณสามารถดูชุดคำสั่งได้บนจอภาพ
ยิ่งเมื่อเทียบกับระบบเดิมที่เคยติดตั้ง และมีโอกาสทดลองในรถยนต์ Ford Focus แล้วระบบ Sync 2 สามารถสั่งการณ์แบบรวดรัดใน บางคำสั่ง ให้การทำงานต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องรอการสรุปเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนเดิม ช่วยลดความรู้สึกยุ่งยากในการใช้งาน และนอกจากการสั่งการด้วย ระบบเครื่องเสียง และมือถือแล้ว รุ่นใหม่ ยังสามารถสั่งระบบปรับอากาศในรถได้อีกด้วย ช่วยให้คุณสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม จนใครที่ขึ้นมาก็ต้องบอกว่าล้ำสุดๆ ไปเลย
ด้านหลังเบาะนั่งแถวสองรองรับการโดยสารที่ให้ความสะดวกสบาย ตัวเบาะทำออกมาได้ดีเกินคาดเช่นเดียวกับ การตอบโจทย์ในเรื่องของความสะดวกสบาย เหลียวมองพื้นที่ด้านหลังยามไม่พับเบาะแถวสามขึ้นมาใช้มันมากพอที่จะตอบการขนถ่ายสัมภาระสำหรับผู้โดยสาร 5 คน ซึ่งตรงคอนโซลกลาง นอกจากจะมีช่องแอร์แล้ว ยังมีชุดปลั๊กไฟ 230V มาให้ สำหรับใครที่กำลังมองหา จุดชาร์จไฟสำหรับอุปกรณ์พกพาท้งหลายที่สะดวกและรวดเร็วแบบไฟบ้าน
หลากฟังชั่นไฮเทค..ถ้าอยากได้อาจจะต้องยอมจ่าย
จะว่าไปไฮไลท์สำคัญของ Ford Everest 3.2 Titanium + ในภาพรวมนั้นมันน่าจะอยู่ที่การให้ฟังชั้นทันสมัยครบครันในแบบสะดวกสบายในสไตล์อเมริกันขนานแท้
เริ่มจากประตูท้ายที่คุณสามารถเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า ทั้งจากภายในรถเอง หรือ ถ้าคุณหิ้วของมาก็สามารถกดสั่งได้จากตัวรีโมท เป็นอะไรที่ทำให้ทึ่งได้พอสมควรไม่แพ้กัน แต่ถ้าคุณคิดว่าออพชั่นนี้วิเศษแล้ว ลืมเรื่องใช้แรงในการพับเบาะแถวสามไปได้เลย เพราะเจ้ายักษ์คันนี้มาพร้อมกับฟังชั่นเบาะนั่งแถวสามพับเก็บด้วยไฟฟ้า สะดวก รวดเร็วและง่ายดายมากยิ่งขึ้นกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆในกลุ่มเดียวกันที่ยังต้องอาศัยระบบอัตโนมือ
แถมในยามขับขี่ในเมืองถ้าคุณคิดว่าจะต้องขับมันแล้วหาที่จอด ต้องใช้เวลาเย่อรถเพื่อจอดขวางแล้วล่ะก็ มันง่ายมากขึ้น ด้วยการติดตั้งระบบ Active Park Assisted เหมือนที่ติดตั้งมาให้ในรถยนต์ Ford Focus งานนี้จอดขวางในเมืองก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ตั้งระบบจากนั้นหาที่จอด มันก็พร้อมจะทำงานให้เพียงคุณเป็นผู้เร่งหรือเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เองเท่านั้น
หรือถ้าคุณต้องการลองของด้วยตัวเอง Ford Everest 3.2 Titanium + ยังมาพร้อมกล้องมองหลัง และเซนเซอร์ทั้งตอนหน้าและตอนหลัง ตลอดจนระบบพวงมาลัย Electric Power Assisted Steering หรือ EPAS ให้ความง่ายต่อการใช้งาน ....แต่อยากบอกค่ายวงรีสีน้ำเงินเหลือเกินว่า ช่วยทำการปลดตำแหน่งเกียร์ จาก Park มาเกียร์ มาเกียร์ว่าง หรือตำแหน่ง N ให้ง่ายกว่านี้หน่อย ก็จะดีมากๆ
แม้ว่าออพชั่นที่เรากล่าวมาทั้งหมด จะน่าสนใจ แต่ คุณเองก็ต้องยอมที่จะจ่ายแพงใน Ford Everest 3.2 Titanium + ซึ่งราคาค่อนข้างสูง แต่ออพชั่นไฮโซแบบนี้ กล้าพูดว่า รถรุ่นอื่นไม่มีให้อย่างแน่นอน
ลองจริงสมรรถนะ จัดหนักแบบ Autodeft
ใต้ฝากระโปรง .. Ford Everest 3.2 Titanium + มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 5 สูบแถวเรียงขนาด 3.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า สูงสุดที่ 3,200 รอบต่อนาที และทำแรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที พละกำลังทั้งหมดจัดหนักมาเต็มด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเอง Select Shift และมันยังให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ All Wheel Drive – Full Time 4WD ซึ่งทาง Ford ติดตั้งระบบ Automatic 4WD มาให้ พร้อมฟังชั่นครบเครื่องเรื่องลุย Ford Terrain management system
การสัมผัส Ford Everest 3.2 Titanium + ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองหลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีโอกาสบินไฟกลไปขับถึงเชียงราย แต่ครั้งนั้น ก็ยังไม่สามารถบอกได้มากมายว่า Ford Everest รุ่นนี้มีสมรรถนะเป็นอย่างไรบ้างเนื่องจากสภาพฟ้าฝน และเส้นทางที่ค่ายวงรีสีน้ำเงินเลือกมาให้ทดสอบคราวนั้น เป็นความเร็วกลางๆ เท่านั้น
รับกุญแจจากคุณเต้น ..หลังจากที่ไม่เจอกันมายาวนานเกือบปี วันนี้เขามาพร้อมทรงผม Undercut ตามสไตล์เทรนด์วัยรุ่นนี้ หลังจากรับกุญแจ เราก็พร้อมเดินทางด้วย Ford Everest 3.2 Titanium + ตะลุยบททดสอบแรกกับป่าคอนกรีต
ปัญหาหนึ่งที่มักจะเจอในรถยนต์อเนกประสงค์กลุ่ม PPV (Pick up Passenger Vehicle) หรือที่ต่างชาตินิยามว่า SUV อันหมายถึงรถอเนกประสงค์ ที่มาจากพื้นฐานรถกระบะ ก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องการใช้งานในเมือง ซึ่งความเทอะทะของตัวรถจะเป็นอุปสรรค์ต่อการบังคับทิศทาง
แต่ด้วยความท้าทายของ Ford ในการจับชุดพวงมาลัย Electric Power Assisted Steering หรือ EPAS เข้ามาในการขับเคลื่อนรถยนต์ Ford Everest ทุกรุ่น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะรู้สึกว่ารถยนต์อเนกประสงค์คันนี้ขับง่ายสุดๆ ในระหว่างการขับขี่ ในเมือง
การมุดเปลี่ยนเลนทำได้ง่ายมากขึ้น แม้ว่าคุณอาจจะยังต้องกังวลเรื่องความยาวของตัวรถที่สั้นกว่ากระบะเล็กน้อยก็ตามที ด้วยความยาว 4,893 มม. กว้าง 1,862 มม. และสูง 1,839 มม. ทำเอาเฉียดหลังคาที่จอดรถบางห้างสรรพสินค้า อย่างเสียวไส้ ขนบนครั้งอาจได้ยินเสียเสาอากาศปะทะกับขอบเพดาน
ขนาดลำตัวที่ใหญ่โตแต่ขับง่าย จนกล้าพูดว่าแม้แต่สตรีเพศก็ขับได้สบาย Ford Everest 3.2 Titanium + ยิ่งกลายเป็นที่ชื่นชอบมากขึ้น ในยามต้องชิงไหวชิงพริบ ด้วยกำลังเครื่องยนต์ 200 แรงม้าใต้ฝากระโปรง ช่วยตอบสมรรถนะการขับขี่ แต่แน่นอนว่าในเวลาการจราจรติดขัดในเขตเมืองนี้ มันทำเอาเซ็งเหมือนกัน
ความจริงแม้ว่าจะดูไม่เข้ากัน แต่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ต้อมาติดในเมืองแบบนี้ ทำให้เรานึกถึงระบบจำพวก Cylinder Deactivation หรือไม่ Ford ก็น่าจะให้ระบบ Stop & Go หยุดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติติดตั้งมาให้บ้าง
แต่จากการขับขี่ของเราที่เดินทางด้วยสภาพจริงของการจราจรในเมือง และขับจริง ไปๆมาๆ กว่า 200 ก.ม. บนหน้าปัด เราจัดหนักเติมเต็มถังกลับคืนท้าทายความประหยัดไปถึง 22.33 ลิตร สรุป ขับจริงติดจริง Ford Everest 3.2 Titanium + ซดน้ำมันไป 8.9 กิโลเมตร/ลิตร ....ไม่มากมายอย่างที่คิด เมื่อนับว่านี่มันเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร 200 แรงม้า
ความประหยัดที่ดีขึ้นเมื่อนึกถึงครั้นเอา Ford Ranger 3.2 ลิตร มาทดลองขับเมื่อครั้นนานมาแล้ว ซึ่งทำตัวเลขแย่กว่านี้มาก ส่วนหนึ่งมาจากการปรับปรุงวิศวกรรมภายในเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่ง Ford เปิดเผยว่า ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบหัวฉีดน้ำมัน ตลอดจนยังเสริมประสิทธิภาพของระบบหมุนเวียนไอเสียกลับมาเผาไหม้ หรือ Exhaust Gas Recirculation system (EGR) ส่วนหนึ่งเพื่อลดการปล่อยไอเสีย และ สร้างการประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม
แน่นอนว่าการขับขี่ในเมืองพอจะบอกได้แล้วว่าเจ้ารถคันนี้ น่าจะมีแนวโน้มประหยัดกว่าเดิม และเมื่อเราเข้าสู่การทดสอบ Bonn Test Mode ขับตามเส้นทางที่กำหนด ทำเหมือนกันกับรถทุกคันที่ถูกนำมา individual Test มันก็เผยถึงการเปลี่ยนแปลงชัดมากขึ้น
ตลอดเส้นทางการขับขี่ ด้วยความเร็วไม่เกิน 120 ก.ม./ช.ม. ในเขตนอกเมืองบนถนนราชพฤกษ์เราใช้ความเร็วไม่เกิน 120 ก.ม./ช.ม. และเมื่อเข้าเมืองก็ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 ก.ม./ช.ม.
ตลอดเส้นทาง สิ่งที่น่าชมเชยในรถยนต์ Ford Everest 3.2 Titanium Plus คือระบบกันสะเทือนที่เซทมาได้อย่างลงตัว ด้วยช่วงล่างแบบปีกนกอิสระสองชั้นพร้อมคอยย์สปริงและเหล็กกันโคลงทางด้านหน้า ส่วนด้านหลังเลือกใช้ระบบกันสะเทือนคอยย์สปริงพร้อม วัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง เป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการขับขี่อย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าคุณกำลังกังวลใจว่าล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วที่มาพร้อมกับรถ ให้ยางขนาด 265/50/R20 จะทำให้รถอเนกประสงค์คันนี้มีความกระด้างในการขับขี่ กระเทือนจนไส้ไหลตามสไตล์รถสปอร์ตที่เรามักทราบกันดีว่ารถยางแก้มเตี้ยหรือ Low Profile Tire จะมีการซับแรงกระแทกจะพื้นถนนได้น้อยกว่า .. (รถจะมีการสั่งสะท้านกระเทือนจากแรงกระแทกจากถนนมากกว่า)
แต่เจ้า Ford Everest 3.2 Titanium + กลับทำให้เราแปลกใจมากเมื่อมันไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนคิด ด้วย ความนิ่มนวลในการขับขี่ ดีพอจะให้สัมผัสที่สบายตลอดการเดินทาง ด้วยช่วงล่างที่ออกอาการไปทางความนุ่ม แต่ลึกๆ ก็ยังให้ความหนีบแน่นกับถนน ส่วนหนึ่ง ต้องยอมรับว่ามาจากชุดยาง 265/50/R20 ซึ่งไม่ต่างอะไรจากคุณเอายางรถสปอร์ตมาใส่ในรถอเนกประสงค์ เมื่อพื้นที่สัมผัสหน้ายางมากกว่า ก็หมายถึงการเกาะถนนที่ดีกว่าตามไปด้วย
ถ้าคิดว่าการเกาะถนนดีแล้ว เรื่องการทำงานของระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 6 สปีดก็ดีขึ้นจนน่าใจหายไม่แพ้กัน Ford เปิดเผยว่า พวกเขามีการปรับปรุงการทำงานของชุดเกียร์ใหม่ ด้วยการคำนวณจังหวะการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ใหม่หมด หรือที่ทางทีมวิศวกร เรียกว่า Re-Calibration
ผลจากการคำนวณวิธีการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ใหม่นี้ ทำให้เราสัมผัสถึงความฉลาดของชุดเกียร์มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะในจังหวะที่คุณต้องการ Kick-Down หรือเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ลงเพื่อเพิ่มอัตราเร่งแซง สามารถรู้สึกได้ว่าคุณไม่ต้องย่ำเท้าลงไปมากจนติดพื้นเหมือนบล็อกเดิม ตลอดจนในยามที่ต้องเข้าโค้ง หรือ หยุดติดไฟแดง เมื่อชินกับชุดเกียร์ คุณสามารถสร้าง Engine Brake (เบรกจากการเชนลงเพื่อใช้กำลังกลไกลในเครื่องยนต์หน่วงความเร็ว) ได้ง่ายขึ้น จนแม้แต่หวดความเร็วมา 120 ก.ม./ช.ม. แล้วต้องเบรกหยุดที่ไฟแดงในระยะ 100 เมตร ก็สามารถทำไดไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
จบบททดสอบครั้งนี้ Ford Everest 3.2 Titanium + เลี้ยวเข้าหัวจ่ายเดิมที่ PTT Crystal ย่านปากเกร็ด เรากดหัวจ่ายเติมน้ำมันเข้าถังด้วยระยะทางที่ใช้ทดสอบเท่ากันประจำตามสูตร Bonn Test mode วันนี้ เจ้าบึกคันนี้ทำอัตราประหยัดได้ 10.91 ก.ม./ลิตร ซึ่งถ้ามองตามรูปแบบเส้นทางที่เฉลี่ยด้วยการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมืองแล้ว ถือว่าเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร บล็อกใหม่นี้มีความดีความชอบมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
ลองสั้นๆระบบ TMS ขับลุยสบายง่ายแค่นิดเดียว
จะว่าไปสิ่งที่ทำให้....หลายคนชอบรถยนต์อเนกประสงค์ Ford Everest ใหม่ เห็นทีจะเป็นการที่พวกเขาเผยไฮไลท์สำคัญในการขับขี่ทางออฟโรด ซึ่งเรียกว่า Ford Terrain management System (TMS)
ระบบ TMS เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time 4WD ซึ่งทำงานอัตโนมัติทันที่ที่รถขับเคลื่อนโดยระบบจะมีการปรับการกระจายแรงขับตามสภาพการขับขี่ ผ่านชุดเกียร์ Active transfer case ซึ่งตามกติจะผกผันในอัตรา 40/60 ระหว่างทางด้านหน้าและด้านหลัง และในช่วงความเร็วสูงนั้นอัตราส่วนการส่งกำลังดังกล่าวจะมีการปรับให้มีความเหมาะสมมากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่มีทางที่ระบบจะขับเคลื่อนสองล้อได้เลย
ข้อดีของการขับเคลื่อนสี่ล้อนั้น คือความมั่นใจในการขับขี่ ซึ่งคุณสามารถสัมผัสได้ทันที่ที่เริ่มออกเดินทางไกล ด้วยเวลาที่จำกัดค่อนข้างมาก เราจึงเลือกเอาปลายทางใกล้เมืองกรุง จังหวัดนครนายก ลองวิ่งการทดสอบระยะไกล ซึ่ง ตลอดเส้นทางเป็นสภาพพื้นผิวเรียบทั้งสิ้น Ford Everest 3.2 Titanium + ก็ออกแววดีในการขับขี่ ยิ่งระหว่างทางแอบมีเจอฝนบ้างเล็กน้อยมันก็โชว์ศักยภาพในการเกาะถนนหนึบแน่น ให้ความมั่นใจได้ตลอดเส้นทาง
การให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาฟังดูแล้ว อาจจะส่งผลถึงการสิ้นเปลืองน้ำมันอยุ่บ้าง แต่เมื่อวัดอัตราประหยัดนอกเมือง ด้วยการใช้ความเร็วตามปกติในการเดินทาง เจ้า Ford Everest 3.2 Titanium + กลับไม่ได้สิ้นเปลืองมากมายเท่าที่คิด เมื่อเราขับมา 189.4 ก.ม. เหลือระยะทางขับได้อีก 514 ก.ม. เราคำนวณอัตราประหยัดออกมาได้ 8.79 ก.ม./ลิตร
ระบบ Ford Terrain MANAGEMENT System นอกจากจะมีประโยชน์ในเรื่องการให้ความมั่นใจปลอดภัยในการขับขี่แล้ว ระบบขับเคลือนสี่ล้อนี้ยังเป็นผู้ช่วยสำคัญในการฝ่าฟันอุปสรรคบนเส้นทางออฟโรด ด้วยการนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการแยกการใช้งานออกเป็นโหมดต่างๆ ตาม สภาพเส้นทางที่สำคัญๆ ที่พวกเขาได้ไปทดลองมาแล้วทั่วโลก เริ่มจาก
- Normal Mode หรือโหมดพื้นผิวทั่วไป ซึ่งโหมดดังกล่าว จะเน้นการให้ระบบส่งกำลังแปรผันตามความเหมาะสมระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง เพื่อประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีที่สุด และลดการลื่นไถล โดยแรงบิดจะถูกส่งมายังล้อหน้า เมื่อยามจำเป็น โดยพิจารณาจากการเร่งความเร็วและการหักเลี้ยว
- Snow / Gravel /Grass โหมดการขับขี่เดียวที่ครอบคลุมแบบ 3 in1 เป็นโหมดสำคัญในการขับขี่เส้นทางลุยทั่วที่มีสภาพทางที่ค่อนข้างลื่น โดยจะทำงานร่วมกับ ระบบ Traction Control และยังมีการเปลี่ยนการตอบสนองระหว่างชุดเซ็นเซอร์คันเร่งไฟฟ้า หรือ Paddle map ตลอดจน การทำงานของชุดเกียร์
- Sand โหมดการขับขี่เพื่อสำหรับการตะลุยพื้นที่ที่เป็นทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรายนิ่มตามชายหาด งานนี้ลงไปได้สบายมากขึ้น ด้วยการพยายามใช้กำลังเครื่องสูงสุด และลดการทำงานของ traction control รวมถึงยังพยายามทำให้เกิดการลากรอบเครื่องยนต์มากขึ้น และชุดเกียร์เปลี่ยนช้าลง
และท้ายสุด Rock โหมดทางหินเพื่อการไต่ โดยเฉพาะ เผื่อใครอยากทำอะไรห่ามๆ ต้องการตะกายเส้นทางสุดโหด โหมดทางหินนี้เป็นโหมดที่เหมาะสำหรับขาโหดตัวจริง ซึ่งทางทีมวิศวกรไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับมันมากมาย แต่กล่าวว่าโหมดนอกจากทางหินแล้ว ยังเหมาะแก่การขับในกรณีที่คุณอาจจะต้องลุยน้ำลำธารที่มีหินมากมาย (ใช้คู่กับ 4X4 Low)
งานนี้เวลาที่ไม่ได้มีมากมาย ไหนๆมานครนายก จึงขอยึดเอาคลองมะเดื่อ ที่ประจำขาออฟโรดมาตอบโจทย์ลุยทางโหด เพื่อดูการทำงานของระบบ TMS เมื่อต้องลุยในเบื้องต้น
การใช้ฟังชั่นการลุยของ Ford Everest 3.2 Titanium + ใช้งานเข้าใจค่อนข้างง่าย การจำแนกโหมดต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเรียนรู้เทคนิคการขับเคลื่อนสี่ล้อ ไม่ต้องเข้าใจว่า 4 High – 4 Low ทำงานอย่างไร
แต่เพียงแค่บิดตำแหน่งการทำงานของระบบไปยังตามสภาพเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า ระบบก็จะมีการปรับเรื่องการตอบสนองของเครื่องยนต์และชุดเกียร์อย่างเหมาะสม จนใครก็สามารถเอารถคันนี้เข้าป่าลุยหาประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ได้สบายๆ และเมื่อต้องการตำแหน่ง 4 Low เพื่อการลุยอย่างสมบุกสมบัน ก็เพียงแค่กดปุ่มใช้งานมันเท่านั้น หรือถ้า คุณต้องลุยโหดจริงๆ ระบบ Diff-lock ก็มีให้ตอบสนองการขับขี่ จนกล้าพูดว่า แทบไม่มีเส้นทางโหดไหน ที่เจ้ารถคันนี้ไปไม่ได้
แล้วจากการขับขี่ของเราในเบื้องต้น แม้ว่าล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว จะดูน่ากลัว เมื่อต้องลุยเละเทะ เนื่องจากเป็นยางแก้มเตี้ย ทว่าเมื่อลองไปลุยในคลองมะเดื่อพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า ตัวตนของ Ford Everest 3.2 Titanium + น่าสนใจอย่างมาก...จริงๆ
เพราะมันขับดีทั้งบนถนน และทางออฟโรด ..ตลอดจนยังครบมือด้วยฟังชั่นครบครัน ....จากโรงงาน
Ford Everest 2.2 2WD ตัวตนเพื่อคนเมือง ลุคหรูที่ดูดี
ทีแรก.....คิดว่าจะทดสอบ Ford Everest 3.2 Titanium + เพื่อตอบเพื่อนๆ ซึ่งติดตามรถรุ่นนี้อยู่ แต่...คุยกับทางค่ายวงรีสีน้ำเงินไปๆมาๆ ก็เลยตัดสินใจไหนๆ ก็ไหน ..เอารุ่นเริ่มต้นตัวตนหล่อในสไตล์ขับเคลื่อนสองล้อมาตอบในรีวิวนี้ด้วยจะดีกว่า
พบกันในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ Ford Everest 2.2 Titanium 4X2 ดูเผินๆภายนอกก็ไม่แตกต่างจากร่างของรุ่นใหญ่ตัวท๊อปมากมายนัก ในเรื่องการตบแต่งหลักๆ ใบหน้าต่างๆ เรียกว่าจัดหนักมาเต็มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะ กระจังหน้าโครเมี่ยมและเอกลักษณ์ต่างๆ ที่ยังแลดูเป็นตัวตนของเอเวอร์เรสเช่นเดิม
การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ถ้าสังเกตจริงๆ ก็จะพอทราบได้ว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นขับเคลื่อนสองล้อเริ่มจากการดูมือจับประตู และกระจกมองข้างว่าเป็นสีเดียวกับตัวรถหรือไม่ จากนั้นขนาดล้อจากขอบ 20 นิ้วถูกทอนลงด้วยล้ออัลลอย 18 นิ้ว มาพร้อมยางขนาด 265/60/R18 ซึ่งแม้จะมีหน้ายางเท่ากับล้อขอบ 20 แต่เรื่องของหน้าสัมผัสยางบนพื้นถนนจริงๆ ย่อมไม่เท่ากันอย่างแน่นอน แต่ยางขอบสูงก็ช่วยให้รถดูมีความสมบุกสมบันมากขึ้น
หลังคาแก้ Panoramic Sunroof หายไป เช่นเดียวกับ ไฟหน้าขาดไฟ Daytime Running Light แบบ LED แต่แทนที่ ด้วยการใช้ชุดไฟหรี่แสดงตำแหน่งแทน ซึ่งก็ดูดีไปอีกแบบเช่นกัน รวมถึงกระจกมองข้างไม่มีกระจกมุมโค้งปลาย และ ไม่มีระบบไล่ฝ้าที่กระจกมองข้างมาให้รุ่นนี้
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร Ford Everest 2.2 Titanium 4X2 ยังคงให้เอกลักษณ์ที่เหมือนเดินการสร้างความหรูหราตามแบบฉบับอเมริกันสไตล์ ที่จริงแล้วมีบางอย่างที่เราชอบในรุ่นนี้มากกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะคอนโซลหน้าที่เอาคำว่า “Everest” ออกไปให้ความรู้สึกที่กลมกลืนดูดีมากกว่าบ่งบอกตัวตน
เบาะนั่งคนขับยังให้ปรับไฟฟ้าแบบ 8 ทิศทาง แต่ตำแหน่งคนนั่ง งานนี้ต้องช่วยตัวเองด้วยระบบอัตโนมือเผยตัวตนในการสู้ชีวิตเล็กน้อย จนอาจทำให้ศรีภรรยาขุ่นเคืองได้
ส่วนเบาะนั่งแถวสองยังสามารถปรับพับได้ในอัตรา 60/40 และยังสามารถเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลังได้สบาย และเบาะแถวที่สามก็ยังคงปรับพับได้ในอัตรา 50/50 เหมือนเช่นเดิม แต่งานนี้ใช้ระบบพับมือ ซึ่งฟอร์ดก็ออกแบบมาให้ใช้งานค่อนข้างง่ายพอสมควร ไม่เหมือนบางเจ้าที่ต้องมานั่งงงสาระวนในการใช้งาน
และที่หายไปอีกประการคือปลั้กไฟฟ้าในรถ 220V รวมถึงความงดงามของชุดชายบันไดเสตนเลส ให้ความรู้สึกหรูหราก็ถูกทอนออกไป
เมื่อขึ้นขับ... Ford Everest 2.2 Titanium 4X2 เริ่มต้นการทดสอบด้วยเย็นวันศุกร์ในสภาพการจราจรติดขัดหนาแน่น แถมฝนยังจัดหนักมาให้ได้ชุ่มฉ่ำ ทำให้ให้รถยนต์ Ford Everest ต้องผ่านการทดสอบอันโหดหินของชีวิตคนกรุง
ตัวตนที่ออกมาในสไตล์ขับเคลื่อนสองล้อทำให้เรารู้สึกว่ารถคันนี้มีปัจเจกเรื่องการขับขี่มากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะการวิศวกรรมพวงมาลัยไฟฟ้าเอง ให้ความรู้สึกถึงความคล่องตัวเหมาะการขับขี่มากขึ้น ในขณะที่หลายคนอาจจะรู้สึกกังวลใจกับเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ที่มาตอบโจทย์ในร่างยักษ์คันนี้ แต่จากการขับขี่เบื้องต้นเราสามารถตอบได้เลยว่า มันเร่งดีกว่าเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร เล็กน้อย เนื่องจาก การไร้ชุดเกียร์ขับเคลื่อนสี่ล้อนั่นเอง
แม้ว่าเครื่องยนต์ดูจะมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับตัวตนที่มีขนาดใหญ่พอสมควร แต่เครื่องยนต์ 2.2 ลิตรนั้น เป็นต้นกำลังที่ฟอร์ดมีการปรับปรุงสมรรถนะในการขับขี่มากที่สุด ด้วยการเพิ่มพละกำลังของมัน ให้ตอบสนองสูงสุดถึง 160 แรงม้า สูงสุดที่ 3,200 รอบต่อนาที และยังทำกำลังแรงบิดเพิ่มสูงขึ้นเป็น 385 นิวตันเมตร สูงสุดที่ ตั้งแต่ 1,600-2,500 รอบต่อนาที
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า กำลังแรงบิดสูงสุดของ Ford Everest 2.2 Titanium 4X2 จะมาไวกว่ารุ่น 3.2 ลิตรเล็กน้อย แถมกำลังขับไม่ต้องกระจายไปยังทั้งสี่ล้อเพื่อเฉลี่ยแรงบิด ผลคือยามที่ออกตัวคุณจะรู้สึกถึงการตอบสนองที่ดีดกว่าอย่างชัดเจน แม้ว่าฟอร์ดอาจจะไม่มีการเปิดเผยอัตราทดเกียร์ออกมา แต่เราเชื่อว่า ในตัวขับเคลื่อนสองล้อจะทดเฟืองท้ายที่มีความจัดจ้านมากกว่า รุ่น 3.2 อย่างแน่นอน
การขับขี่ในเมืองของ Ford Everest 2.2 Titanium 4X2 เราจบลงด้วยระยะทางตลอดการทดสอบกว่า 150 กม. และเราเติมน้ำมันไป 15.88 ลิตร ตอบเรื่องความประหยัด 9.4 ก.ม./ลิตร และในการทดสอบ Bonn Test Mode ผมจบอัตราประหยัดที่ 12.98 ก.ม./ลิตร
ส่วนการทดสอบขับขี่นอกเมืองผมเลือกเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังกาญจนบุรี และเราจบอัตราประหยัดที่ 10.63 ก.ม./ลิตร
เปรียบมวยสมรรถนะ 3.2 VS 2.2
แม้ว่าจะมี..ความแตกต่างในรายละเอียดของระบบขับเคลื่อนระหว่างการนำเสนอ Ford Everest ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 และ 3.2 ลิตร แต่ความกังขานี้ทำให้หลายคนมองข้ามการเลือกหารุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าจะเหมาะต่อการใช้งานในภาพรวมของชีวิตคนทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการมีรถไว้เพื่อลุยมากกว่า
งานนี้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน เห็นทีต้องทำผ่าน Performance Test ซึ่งเราได้ทำการทดสอบทั้งอัตราเร่ง ละความเร็วสูงสุด ตลอดจน รอบเครื่องยนต์ที่ทำงานอย่างครบถ้วน เพื่อตอบโจทย์ว่าใครดีกว่าใคร
ตารางแสดงผลทดสอบ อัตราเร่งรถยนต์อเนกประสงค์ Ford Everest
|
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. |
อัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม. |
||
|
Ford Everest 3.2 Titanium Plus |
Ford Everest titanium 2.2 |
Ford Everest 3.2 Titanium Plus |
Ford Everest titanium 2.2 |
ครั้งที่ 1 |
12.99 |
13.99 |
10.00 |
11.00 |
ครั้งที่ 2 |
13.00 |
14.0 |
10.00 |
12.00 |
ครั้งที่ 3 |
12.99 |
14.0 |
10.00 |
10.00 |
เฉลี่ย |
13.00 |
14.0 |
10.00 |
11.0 |
จากการทดสอบอัตราเร่ง โดยนำค่าเวลาที่ดีที่สุดสามครั้งมาหาผลสรุปข้อมูลการขับขี่ของรถยนต์ Ford Everest ใหม่ เราพบว่า รถยนต์อเนกประสงค์ทั้งสองรุ่น ไม่ได้มีอัตราเร่งหนีกันมากมายอย่างที่คิด
ส่วนหนึ่งคาดว่าจะมาจากน้ำหนักของตัวรถ ที่มีพิกัดต่างกันมากพอสมควรในการขับขี่ จนทำให้กำลังเครื่องยนต์ที่มากกว่ากัน 40 แรงม้า และแรงบิดต่างกัน 85 นิวตันเมตร ระหว่างเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร และเครื่องยนต์รุ่น 2.2 ลิตร แทบมีอัตราเร่งไม่ต่างกัน
ด้วยการศึกษาข้อมูลทางวิศวกรรมในเชิงลึกเป็นที่น่าสนใจมากที่ ใน Ford Everest Titanium + 3.2 มีน้ำหนักมากถึง 2,393 กิโลกรัม และในรุ่น Ford Everest Titanium 2.2 มีพิกัดน้ำหนักตัวอยู่ที่ 2,204 กิโลกรัม หรือมีความแตกต่างกันที่ 189 กิโลกรัม
เท่ากับว่า หากเทียบอัตราแรงม้าต่อน้ำหนักที่เกิดขึ้นแล้ว รุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร จะมีอัตราเฉลี่ยที่ 13.775 กิโลกรัม ต่อแรงม้า และแม้เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร อาจจะมีพละกำลังมากกว่าอย่างชัดเจน แต่ว่าท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเฉลี่ยออกมาก็มีอัตราน้ำหนักเฉลี่ยต่อแรงม้าต่างกันไม่มีมากเพียง 11.963 กิโลกรัม/แรงม้า หรือต่างกันเพียง 1.8 กิโลกรัม/แรงม้า ในอัตราการแบกน้ำหนักของเครื่องยนต์ระหว่างรถทั้งสองรุ่น
ตารางแสดงการทำงานของเครื่องยนต์ และความเร็วสูงสุด
|
Ford Everest Titanium + 3.2 |
Ford Everest Titanium 2.2 |
|
การทำงานของเครื่องยนต์ ที่ตำแหน่งเกียร์ 6 |
|
100 ก.ม./ช.ม. |
1800 |
1700 |
110 ก.ม./ช.ม. |
2000 |
1900 |
120 ก.ม./ช.ม. |
2200 |
2100 |
ความเร็วสูงสุด |
185 ก.ม./ช.ม. (ล็อคความเร็ว) |
171 ก.ม./ช.ม. |
ในระหว่างการทดสอบ ได้มีการเก็บข้อมูลการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อทำการเปรียบเทียบกัน ซึ่งจากข้อมูลเผยให้เห็นถึงการทำงานของเครื่องยนต์ที่ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากมายนัก แต่ว่าในเรื่องของความเร็วสูงสุดเป็นที่ชัดเจนมากว่า ความแตกต่างระหว่างของขนาดเครื่องยนต์มีผลต่อการทำความเร็วสูงสุด ...แต่คำถามคือ คุณจะต้องการขับรถอเนกประสงค์พิกัดสองตันให้เร็วสุดๆไปเพื่ออะไร ...และจะมีกี่ครั้งที่คุณจะต้องทำแบบนั้น เพื่อแข่งกับเวลา
สรุป Ford Everest คุ้มค่าครบครัน ...แค่ขาดตกบางออพชั่นเท่านั้น เอง
หลังจากขับรถยนต์อเนกประสงค์ Ford Everest ทั้งสองรุ่นต้องยอมรับว่า Ford Everest เป็นรถที่มีความลงตัวอย่างมากในเรื่องของการขับขี่ เช่นเดียวกันกับ การออกแบบที่มีเสน่ห์ในแบบรถยนต์อเมริกัน และ ออพชั่นที่ครบครัน
ตัวตนของรถยนต์ Ford Everest 3.2 ชัดเจนในเรื่องของเสน่ห์ความหรู ครบครันทุกออพชั่นในการขับขี่ที่จำเป็น ไม่ว่าจะประตูหลังไฟฟ้า หรือจะเป็นออพชั่นจิปาถะ เช่นเบาะแถวสามพับไฟฟ้า และหลังคา Panoramic Sunroof ที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว แต่กระนั้น แม้จะมีความสมบูรณ์แบบรออยู่ตรงหน้า ทว่า Ford Everest กลับตกม้าตายในการขาดบางออพชั่นที่มีความจำเป็นต่อการใช้งาน เช่น กุญแจแบบรีโมท Keyless Entry และ ปุ่มสตาร์ท และแม้พวกเขาจะมองว่า ออพชั่นแบบนี้ไม่จำเป็นมาก แต่เมื่อคู่แข่งมี ก็น่าจะมีมาให้เช่นกัน
และหากใครมองว่าเจ้า Ford Everest 3.2 ลิตร คือที่สุดของความทรงพลัง ด้วยน้ำหนักตัวของมันและจากการทดสอบอัตราเร่ง ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ามันไม่ได้เร้าใจมากมายเท่าที่หลายคนคาดคิดเอาไว้ เนื่องจากมีน้ำหนักตัวที่มากกว่าคู่แข่งอยู่หลายขุม
ทางด้านรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร Ford Everest กลับตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวมากกว่า การขาดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อนั้น ทำให้เจ้าอเนกประสงค์คันนี้มีพิกัดเบากว่าถึง 189 กก. และเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ก็เพียงพอที่จะพาตัวถังขนาด 2 ตันเศษๆ นี้ไปยังปลายทางได้ตามต้องการ
ออพชั่นหลายส่วนที่ขาดไปเมื่อเทียบกับในรุ่น 3.2 ลิตร ส่วนใหญ่เป็นออพชั่นเพื่อความล้ำสมัย แต่ในภาพรวมของการออกแบบ Ford Everest รุ่น 2.2 ลิตร ยังสามารถคงเสน่ห์ในเรื่องของการออกแบบไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ให้ความรู้สึกถึงความเป็นรถอเนกประสงค์จากประเทศอเมริกันขนานแท้ อบอวลด้วยความหรูหรา และเพียงพอต่อการใช้งาน
และจากการทดสอบตลอดสัปดาห์ของรถยนต์ Ford Everest 2.2 มันก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ... เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปี่ยมด้วยความลงตัวในการขับขี่ทั้งสมรรถนะที่น่าพอใจและความประหยัดน้ำมันที่ดีเช่นกัน
ถ้าถามว่า คันไหนดีกว่ากันระหว่างรถยนต์ Ford Everest ทั้งคู่ คงต้องมองว่าคุณต้องการรถยนต์อเนกประสงค์คันนี้เพื่ออะไร คุณต้องการใช้ออพชั่นที่หวือหวาของรถหรือไม่ ถ้าไม่และเน้นใช้งานในเมืองเป็นหลัก แค่ต้องการความหรูหราโอ่โถง บางที รุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรก็พอเพียง
Ford Everest ใหม่ ถือเป็นส่วนผสมที่มีความลงตัวในการให้ออพชั่นการขับขี่อย่างเต็มพิกัด เช่นเดียวกับการออกแบบตัวรถให้ทรงเสน่ห์ในแบบอเมริกันเอาไว้ แม้ว่าออพชั่นบางส่วนที่คู่แข่งมีอาจจะไม่มีในรถคันนี้ แต่ด้วยออพชั่นที่หวือหวาเหนือใครในรุ่น 3.2 ลิตร และตัวตนสมถะรุ่น 2.2 ลิตร ถือเป็นโจทย์ที่คุณไม่ควรมองข้าม ถ้าไม่ได้ไปลุยอะไรนักหนาในวันว่างของคุณ
เรื่อง ภาพ และขับทดสอบ โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook หรือ ทาง Fan page ,Twiter (@nattayodc)
ขอบคุณ ฟอร์ด ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อรถทดสอบ Ford Everest ใหม่ มาให้ทีมงาน Autodeft ทดสอบ
รถทดสอบ Ford Everest
Ford Everest 3.2 titanium Plus 4WD
ราคาจำหน่าย 1,599,000 บาท
สิ่งที่ชอบ >>> ตัวตนแบบอเมริกันขนานแท้ การออกแบบที่ค่อนข้างมีความลงตัวมากกว่าคู่แข่งตลอดรอบคันที่ค่อนข้างทำออกมาได้ดูดี และเช่นเดียวกัน ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีหลายรายการ
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ขาด ระบบช่วงขับขี่พวกระบบ Active Safety ทั้งที่ก็จำเป็นเช่นกัน
สิ่งที่อยากให้มี >>> กุญแจรีโมท Key less และน่าจะทำให้ระบบปลดเป็นแบบ 2 ล้อในระหว่างการขับขี่ใช้งานในเมือง
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ >>> เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบครันตัวจริง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบตามที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ เหตุจากการมองข้ามบางออพชั่นไป ซึ่งคู่แข่งมีแต่ฟอร์ดไม่มี
Ford Everest titanium 2.2 2WD
ราคาจำหน่าย 1,269,000 บาท
สิ่งที่ชอบ >>> บุคคลิดที่ไม่แตกต่างจากรุ่นพี่มากมายทำให้ดูดีเหมือนกัน ไม่เคอะเขิน
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> การไม่มีรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อในเครื่องยนต์บล็อกนี้
สิ่งที่อยากให้มี >>> ประตูหลังไฟฟ้า , หลังคา Panoramic Sun roof ตลอดจนน่าจะพิจารณาระบบ Active City Stop เข้ามาเนื่องจากรถรุ่นนี้น่าจะเป็นการใช้งานในเมือง
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ >>> มันน่าสนใจ และเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ไม่ได้ขี้เหร่อย่างที่เราคิด มันเร่งได้ดีพอกัน เพียงแต่คุณจะไม่ได้ขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมออพชั่นเจ๋ง ก็เท่านั้นเอง ...
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com
[GALLERY1671] [GALLERY1672]