Deft Answer :DAY Time Running Light ต้นกำเนิดมันมาจากไหน ...มีประโยชน์อย่างไรกันนะ
- โดย : Autodeft
- 16 ก.ย. 58 00:00
- 27,384 อ่าน
พบเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไฟ Day Time Running Light รู้หรือไม่มันไม่ใช่แค่แฟชั่นแต่ยังมีระโยชน์ทางด้านความปลอดภัยมากกว่าที่คุณคิดอีกด้วย
DAY Time Running Light มันมาจากไหน ...มีประโยชน์อย่างไร
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ทุกวันนี้รถยนต์ที่เราใช้งานกันในชีวิตประจำวัน ต่างมีออพชั่นต่างๆมากมายเพิ่มเข้ามาตอบโจทย์มากขึ้น หนึ่งในหลายๆออพชั่นที่เพิ่มเข้ามา ดูเหมือนว่าไฟส่องยามขับขี่ในเวลากลางวัน หรือที่เรารู้จักในนาม Day time Running Light จะกลายเป็นมากกว่าแค่ออพชั่นรถยนต์ แต่มันยังกลายเป็นแฟชั่นการแต่งรถยนต์ไปโดยปริยาย
ชุดไฟที่เปิดติดสว่างตลอดเวลาในเวลากลางวัน กำลังกลายเป็นที่นิยมของคนจำนวนมาก บางครั้งพวกเราหลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันทำให้รถดูดีมีราศีมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดมันดูเหมือนรถยนต์นั่งหรูราคาแพงมากขึ้น แต่ความจริงนอกจากความสวยงาม ไฟ Day Time Running Light หรือ DRL กลับมีประโยชน์มากกว่าที่คิด ด้วยมันถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้างความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น
จะว่าไปเรื่องราวของไฟ DRL ก็มีจุดกำเนิดแอบคล้ายโครงการเปิดไฟใส่หมวกที่รณรงค์มายาวนานในบ้านเรา จนท้ายที่สุดกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในรถจักรยานยนต์ทุกรุ่น แต่ย้อนกลับไปในช่วงปี 1970 มีรายงานการวิจัยบ่งชี้ว่าเมื่อคุณเปิดไฟหน้าขับเวลากลางวันจะมีความปลอดภัยมากขึ้น
แต่จุดกำเนิดของไฟ DRL อย่างแท้จริงกลับต้องรออีกเกือบ 40 ปี เมื่อทางสำนักงานความปลอดภัยทางถนนของอเมริกาหรือ NHTSA ออกรายงานการวิจัยในปี 2008 ซึ่งชี้ว่าการติดตั้งชุดไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน สามารถลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุระหว่างรถยนต์สองคันได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุระหว่างรถกับคนเดินเท้า,นักปั่นจักรยาน ตลอดจนรถมอเตอร์ไซค์ได้อีกด้วย
.ในรถบางรุ่นไฟ DRL อาจจะเป็นชุดไฟสีเหลือง หรืออาจจะเป็นการติดไฟหรี่ตลอดเวลาในการขับขี่
ทว่าที่มาของไฟ DRL ที่แท้จริงมาจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งใช้ไฟส่องให้เห็นรถยนต์ที่ขับขี่ในหน้าหนาว โดยสวีเดนเป็นประเทศแรกที่ใช้ชุดไฟดังกล่าวติดตั้งในรถยนต์ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “Varselljus” หรือไฟบอกตำแหน่ง (perception Light) ซึ่งใช้ไฟที่มีกำลัง 21 วัตต์แบบเดียวกับหลอดไฟเลี้ยว มาส่องสว่างและเริ่มบังคับให้ใช้ยามผู้ขับขี่ขับรถในชนบทของสวีเดนช่วงหน้าหนาวในปี 1972 ก่อนจะเริ่มแพร่หลายจนในปี 1977 สวีเดนเป็นประเทศแรกที่รถทุกคันมีไฟดังกล่าว ก่อนตามมาด้วยประเทศในแถบเดียวกันไม่ว่าจะนอร์เวย์,ไอซ์แลนด์ ,เดนมาร์ค
ทว่าในที่สุดการเห็นประโยชนืของไฟ DRL กลับเกิดขึ้นหลังจากนั้นมากเมื่อสหยุโรปออกแผนพัฒนาและกลายมาเป็นกฎข้อบังคับสำคัญใน European Union Directive /2008/09/EC ซึ่งได้กำหนดให้รถยนต์นั่งทุกรุ่นตลอดจนรถตู้ส่งสินค้าต้องติดชุดไฟ DRL ที่ผลิตออมาหลังวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2011 ต้องติดตั้งชุดไฟ DRL มาให้ลูกค้า ก่อนที่แนวทางดังกล่าวจะเริ่มใช้ในรถบรรทุกและรถบัสต่อมาในที่สุด จนนิยมอย่างแพร่หลายในท้ายที่สุด
ถ้ามองแล้วไฟ DRL มีประโยชน์สำคัญในเรื่องการสร้างการมองเห็นต่อเพื่อนร่วมทางให้สามารถสังเกตเห็นคุณในระหว่างการขับขี่ได้ง่ายขึ้น ในหลายงานวิจัยทางด้านความปลอดภัยทางถนนสนับสนุนให้รถยนต์มีการติดตั้งไฟ DRL เข้ามา (แม้จะมีการกังขาต่อเรื่องการทำให้รถมีการใช้ไฟมากขึ้น ทำให้บริโภคน้ำมันมากขึ้น) ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสังเกตรถยนต์คันอื่นได้ง่ายขึ้น ตลอดจนชี้ชัดว่า ยังช่วยในการตัดสินใจและประเมินรถที่ขับขี่ตามมาหรือขับขี่สวนทางกันได้เป็นอย่างดี ช่วยสร้างความปลอดภัยในการเดินทางมากขึ้น
ถึงบ้านเราอาจจะไม่เมืองหนาว แต่ในเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยมองข้ามไปเสียทั้งหมด แม้ว่าสำหรับหลายคนไฟ DRL อาจจะเป็นเพียงการติดเพื่อโก้เก๋ ทำให้รถดูดีมีราศีขึ้น แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อคุณตัดสินใจติดไฟ DRL ในรถคู่กาย หมายถึงคุณยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของคุณเองด้วยโดยไม่รู้ตัว
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com