9 ข้อน่ารู้ เกี่ยวกับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบจากญี่ปุ่น Super GT

  • โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
  • 30 มิ.ย. 61 00:00
  • 10,613 อ่าน

อีกหนึ่งรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีเรซการแข่งขันในประเทศไทย ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ. บุรีรัมย์ ในปี 2018 นี้ ช่วงวันที่ 30 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2561 วันนี้จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันนี้มาฝาก เพื่อการติดตามและร่วมเชียร์ได้อย่างเข้าใจมากขึ้นพร้อมความสนุกสนาน

1. การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบของประเทศญี่ปุ่นนี้  เริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2536 โดยใช้ชื่อว่า Japanese Grand Touring Car Championship หรือ JGTC ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อจาก JGTC เป็น Super GT เพื่อเพิ่มความเป็นสากล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 

2. ในแต่ละฤดูกาลจะมีการแข่งขันทั้งหมด 8 สนาม โดยแบ่งเป็น 7 สนามในประเทศญี่ปุ่น และอีก 1 สนาม ที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย ซึ่งตั้งแต่ฤดูกาลการแข่งขันปี 2014  สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ก็ได้เข้ามาเป็น 1 ใน 8 ของสนามที่ใช้ในการแข่งขันซูเปอร์ จีที แทนสนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย

3. สนามสุดท้ายที่ใช้ในการแข่งขันซูเปอร์ จีที ในทุกปี จะถูกกำหนดให้เป็น “สนามทวินริง โมเตกิ” (Twin Ring Motegi) ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดโทชิกิ ประเทศญี่ปุ่น

4. การแข่งขันซูเปอร์ จีที เรซ 2018 ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน -  1 กรกฎาคม 2561 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ นับเป็นสนามที่ 4 ในฤดูกาลการแข่งขันปี 2018 และนับเป็นปีที่ 5 ของการแข่งขัน ช้าง ซูเปอร์ จีที เรซ ในประเทศไทย

5. การแข่งขันซูเปอร์ จีที แบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ จีที 500 และจีที 300 โดยตัวเลขนี้หมายถึงกำลังแรงม้าสูงสุดในแต่ละรุ่น ซึ่งทั้งสองรุ่นจะทำการแข่งไปพร้อมกัน โดยแต่ละเรซการแข่งขันจะมีระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 300 กิโลเมตร และใช้เวลาในการแข่งขันประมาณ 2 ชั่วโมง 

6. การแข่งขันในรุ่นจีที 500 ประกอบไปด้วย รถยนต์จาก 3 ค่ายรถยนต์ ได้แก่ ฮอนด้า นิสสัน และเล็กซัส

7. การแข่งขันในรุ่นจีที 300 ประกอบไปด้วยรถยนต์จากค่ายรถยนต์ ได้แก่ โตโยต้า เล็กซัส นิสสัน ซูบารุ และฮอนด้า ที่กลับมาเข้าร่วมการแข่งรุ่นนี้ในปี 2018 และแบรนด์อย่าง พอร์ช บีเอ็มดับเบิลยู เมอร์เซเดส-เบนซ์ ออดี้ โลตัส และเบนท์ลีย์  ร่วมทำการแข่งขันด้วย

8. ไฟ LED ที่ติดอยู่หน้ากระจกรถ สีแดงและสีน้ำเงิน หลายคนที่เคยมีโอกาสได้ชมการแข่งขันอาจมีข้อสงสัยว่ามันคือไฟบอกอะไร โดยไฟนี้มีไว้เพื่อบอกผู้ชมว่า นักแข่งคนไหนที่กำลังขับอยู่ จากกติกาการแข่งขัน ที่กำหนดไว้ว่า ในการแข่งขัน 1 เรซ จะต้องมีนักแข่งอย่างน้อย 2 คน โดยไฟ LED สีแดง หมายถึง นักแข่งหมายเลข 1 กำลังขับอยู่ ส่วนสีน้ำเงินหมายถึง นักแข่งหมายเลข 2 กำลังขับอยู่นั้นเอง

9. ใครที่เพิ่งได้ชมการแข่งขันอาจสับสนว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ารถแข่งคันไหนอยู่ในรุ่นใด จุดสังเกตในการแยกความแตกต่างระหว่างรุ่น จีที 500 และรุ่น จีที 300 เมื่ออยู่ในสนามการแข่งขัน มีดังนี้
-ไฟหน้า รถแข่ง รุ่นจีที 500 ไฟหน้าจะเป็นสีขาว  แต่รุ่นจีที 300 ไฟหน้าจะเป็นสีเหลือง  
-สติกเกอร์ที่ติดกับตัวรถ รุ่นจีที 500 จะมีพื้นหลังสีขาวและตัวเลขสีดำ แต่รุ่นจีที 300 จะมีพื้นหลังสีเหลืองและตัวเลขสีดำ
-สติกเกอร์คาดกระจกหน้ารถ รุ่นจีที 500 เป็นแถบสีขาว แต่รุ่นจีที 300 เป็นแถบสีเหลือง
-กราฟฟิคในการถ่ายทอดสด รุ่นจีที 500 จะเป็นพื้นสีขาว ตัวเลขสีดำ และมีไฟหน้าสีขาว แต่รุ่นจีที 300 จะเป็นพื้นสีเหลือง ตัวเลขสีดำ และมีไฟหน้าสีเหลือง 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

5 เรื่องน่าสนใจ