Test Drive: รีวิว ทดลองขับ ORA Good Cat 400 Pro เหมียวใหญ่รักษ์โลก เล่นตัวเรื่องราคา
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 25 ต.ค. 64 00:00
- 21,027 อ่าน
การก้าวเข้ามาสู่ตลาดเมืองไทยของค่ายรถยนต์จากแดนมังกรอย่าง Great Wall Motor ทำเอาตลาดคนใช้งานรถยนต์ในประเทศไทยคึกคักไม่ใช่น้อย เพราะหลายคนคาดหวังว่า รถจากค่ายนี้จะต้องมีราคาถูก ไม่ว่าจะเป็น Haval หรือ ORA ที่เป็นรถในแผนสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศไทย
หลังจากการเปิดราคารถอเนกประสงค์ Haval H6 Hybrid SUV ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีหลายคนร้อง “ว้า” แล้วแอบนินทาว่า “รถจากจีนทำไมแพงขนาดนี้” โดยที่ไม่ได้ดูรถตัวจริงเลยว่า ตัวรถมีการใช้วัสดุคุณภาพไหน และใส่เทคโนโลยีอะไรมาบ้าง บอกแต่เพียงว่ารถจากเมืองจีนต้องถูกกว่ารถญี่ปุ่นในระดับ 50% เลย (จะบ้าเหรอ) แต่ใครจะเชื่อว่า แค่เริ่มเปิดให้จอง รถรุ่นนี้ก็ครองแชมป์ในกลุ่มรถ SUV ไปได้ 2 เดือนติดแล้ว
คิวต่อมากับรถไฟฟ้า ORA ที่หลายคนต่างก็ประเมินล่วงหน้าว่า “ราคาไม่ควรเกิน 5 แสนนะ ไม่งั้นเก็บเสื่อกลับบ้านไปได้เลย” (เอาอีกแล้ว) โดยที่ยังไม่เห็นตัวรถ, ไม่ได้ลองขับ, ไม่ได้ดูระดับราคากับรถไฟฟ้าค่ายอื่นเลย แต่ผมในฐานะผู้ที่ติดตามข่าวยานยนต์มาอย่างใกล้ชิด บอกได้เลยว่า รถไฟฟ้าเหมียวแสนดีรอบนี้ ไม่มีต่ำกว่า 8 แสนแน่นอน เพราะอะไรผมถึงมั่นใจขนาดนั้น เพราะผมได้ลองขับมาแล้ว และมาดูกันว่าทำไมผมถึงคิดแบบนี้
หลังจากได้รับหมายเทียบเชิญในการเข้าร่วมทดสอบจาก Great Wall Motor เพื่อเข้าร่วมทดสอบรถยนต์ ORA Good Cat รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ลงตลาดเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ผมก็ได้ตอบรับอย่างไม่ต้องคิด แล้วเตรียมข้อมูลเพื่อเข้ารวมทำการทดสอบเลย
รอบนี้ต้องบอกว่า รถไฟฟ้าที่ใช้ในการทดสอบ จะมีทั้งรุ่นบนสุดอย่าง ORA Good Cat 500 Ultra และ 400 Pro ที่เป็นรุ่นกลาง แต่ที่จะได้ขับเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็จะเป็น ORA Good Cat 400 Pro ดังนั้นการทดสอบครั้งนี้ ผมจะเน้นหนักไปที่รุ่นนี้เท่านั้น (อีกรุ่นขับนิดเดียว ขอข้ามไปละกัน) ดังนั้นเริ่มต้นเราจะมารับทราบข้อมูลของรถคันนี้ก่อนเลย
ORA Good Cat 400 Pro เป็นรถไฟฟ้าที่ใช้แพลทฟอร์ม GWM LEMON E PLATFORM ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ ดังนั้น Haval H6 จึงไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มตัวนี้ มิติตัวรถ 1,825 x 4,235 x 1,596 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,650 มม.ถ้าถามว่าอยู่ในไซส์ไหน ก็จะอยู่ประมาณ Mini Countryman นั่นแหล่ะ แต่จะสั้นกว่านิดนึง ตัวขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 105 kW หรือ 143 PS แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุด 152 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อนล้อหน้า รับการจ่ายไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 47.788 กิโลวัตต์ชั่วโมง (จะละเอียดไปไหน) วางอยู่ใต้พื้นรถ วิ่งได้ระยะทางสูงสุดตามชื่อรุ่นเลยคือ 400 กิโลเมตร รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง (DC) สูงสุด 60 kW และการชาร์จไฟบ้านแบบ AC 6.6 kW ถ้าชาร์จไฟบ้านจะชาร์จ 0-100% ได้ในเวลา 8 ชั่วโมง แต่ถ้าชาร์จเร็วแบบ DC จะชาร์จ 30-80% ได้ใน 32 นาที และชาร์จ 0-80% ได้ใน 45 นาที ตามสเปกบอกว่า ทำอัตราเร่ง 0-50 ได้ใน 3.5 วินาที แปลกดีแฮะ ชาวบ้านบอก 0-100 แต่ GWM บอก 0-50 แทน ฮ่า
ช่วงล่างด้านหน้าของ ORA Good Cat 400 Pro ใช้เป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท (MacPherson Strut) พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม (Torsion Beam) พร้อมเหล็กกันโคลง ใส่ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ใส่ล้อแม็กซ์อัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/50 R18 ไม่มียางอะไหล่ให้ มีแต่ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน พวงมาลัยเป็นระบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า สามารถปรับระดับความหนืดได้ 3 ระดับคือ เบา, สบาย และสปอร์ต (ตามภาษาไทยในหน้าจอเลย) แต่ไม่สามารถปรับระดับตามความเร็วได้
การตกแต่งภายนอกนั้น ถ้าดูผ่าน ๆ ก็จะออกแนว Retro หน่อย เหมือนเอาการออกแบบของรถเต่าผสมกับรถ Mini ในสมัยโบราณ ไฟหน้าเป็นทรงกลมน่ารัก แต่ทันสมัยด้วยไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ DRL ที่ล้อมกรอบโคมไฟเอาไว้ โดยไปวงนี้จะเปลี่ยนเป็นไฟเลี้ยวได้ด้วย โคมไฟหน้าปรับระดับและเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ และระบบ Follow-Me-Home หรือส่องนำทางหลังดับเครื่องยนต์ แต่ในรุ่นกลางจะไม่มีไฟ Welcome Light เหมือนรุ่นท็อปอย่าง 500 Ultra ด้านหน้าทาง GWM บอกว่ามีการออกแบบเป็นระบบ Active Air Intake ซึ่งสารภาพเลยว่า “งง” มันคือระบบอะไรวะ หรือมันเปิด-ปิดได้เองเหมือนกับรถหรู สรุปแล้วพอเดินไปถาม ได้ข้อมูลมาว่า “ไม่มีอะไรครับ เป็นแค่วิธีการออกแบบให้ลมผ่านเข้าไปได้ ซึ่งปกติแล้วรถไฟฟ้าเขาไม่ค่อยทำกัน เพราะไม่ต้องระบายความร้อนเหมือนเครื่องยนต์ปกติ” พอได้รับรู้แล้วอยากตะโกนถามท้องฟ้าเลยว่า “เพื่ออออออออออ…….”
ส่วนการออกแบบด้านหลังของ ORA Good Cat อันนี้สิเด็ด เพราะเขาเอาไฟท้ายมาเป็นรูปแบบ LED Tail light Strip ที่พาดยาวขวางแนวรถจากซ้ายไปขวาอยู่บนฝาประตูใต้ขอบกระจกล่าง สวยงามดี แต่แปลกใจนิดนึงตรงที่ปลายของทั้ง 2 ข้างมีเป็นเม็ดไฟเรียงแบบไข่ปลา 5 จุด ทำไมไม่เอาไฟเลี้ยวมาวางไว้ตรงนี้ แต่เอาไปไว้ด้านล่างแถวไฟทับทิมแทน อันนี้ผมว่ามันต่ำไปสำหรับไฟเลี้ยวนะ ถ้าย้ายมาแทนที่เม็ดไข่ปลา น่าจะสวยกว่านะ และยิ่งเป็นแบบ Sequential ได้ด้วย ยิ่งสวยงามไปใหญ่ (เพ้อ) ส่วนการตกแต่งอื่น ๆ กระจกมองข้าง ใช้เป็นสีเดียวกับหลังคา ฝังไฟเลี้ยวแบบ LED เอาไว้ด้วย ปรับและพับไฟฟ้า แต่ไม่มีระบบบันทึกตำแหน่งเหมือน 500 Ultra
ส่วนภายในของ ORA Good Cat 400 Pro ถ้าเข้าไปนั่งตอนแรกนี่แทบหาอะไรให้พูดถึงไม่ได้เยอะเลย เพราะการออกแบบนั้นเน้นไปในรูปแบบของ Retro ย้อนยุค แทบไม่มีปุ่มอะไรให้กดมากมายเลย เพราะทุกอย่างเอาไปยัดอยู่ในหน้าจอขนาดใหญ่หมด มาเริ่มกันที่เบาะนั่งก่อน ที่จะมาในรูปทรงธรรมดา มีให้เลือกสีเดียวคือหนังสังเคราะห์สีดำ ต่างกับรุ่น 500 Ultra ที่ให้เลือกได้ 3 สี แต่มีการเดินด้ายสีน้ำเงินเล่นเป็นลายทางตรงกับลายตราเพชรหรือข้างหลามตัด (แล้วแต่จะเรียก) ฝั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ส่วนฝั่งคนนั่งปรับมือ 4 ทิศทาง พวงมาลัยทรงกลมแบบ 2 ก้าน ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง บนพวงมาลัยมีปุ่ม Multi-Function ให้กดบังคับการทำงานได้เพียบ โดยด้านซ้ายเน้นการควบคุมระบบเครื่องเสียงและโทรศัพท์ ด้านขวาควบคุมระบบความปลอดภัยและข้อมูลบนหน้าจอ
ตัวหน้าจอ จะเป็นการรวบเข้าเป็นจอเดียวกันของระบบ Infotainment กับหน้าปัดข้อมูลการขับขี่ โดยฝั่งซ้ายเป็นระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ใส่มาพร้อมลำโพง 4 ตำแหน่ง รองรับการเชื่อมต่อด้วยระบบ Apple CarPlay มีระบบนำทาง ส่วนด้านขวาเป็นหน้าจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว เอาไว้บอกข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ เปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ 2 รูปแบบ จะเอาแบบทันสมัยหรือแบบคลาสสิคก็ได้ ช่องแอร์เป็นแนวเส้นพาดกลางคอนโซล ที่ใช้วัสดุหนังกลับในการหุ้มเกือบทั้งแผง ใต้ช่องแอร์จะมีปุ่มควบคุมแอร์ 4 ปุ่ม + ปุ่มไฟฉุกเฉินอีก 1 หน่วย (ทำได้แค่เปิด-ปิดแอร์, เปิด-ปิด AC, ไล่ฝ้ากระจกหลังกับลมไล่ฝ้าเท่านั้น) ที่เหลือเอาไปสั่งการในหน้าจอทั้งหมด รวมทั้งการสั่งการควบคุมแอร์แบบอัตโนมัติแยกโซนซ้าย-ขวาอีกด้วย แต่ตัวแอร์รองรับการกรองฝุ่นระดับ PM2.5 ได้
ขยับลงมาอีกนิดที่ใต้แผงควบคุมแอร์ มีช่อง USB ให้เสียบชาร์จไฟกับเชื่อมต่อหน้าจอ 2 ช่อง บวกกับช่อง 12V อีก 1 ช่อง ส่วนตรงกลาง มีปุ่มหมุนสำหรับเปลี่ยนเกียร์แบบ Electronic Shifter ที่ไม่มีกดปุ่ม P แต่เมื่อจอดให้กดปุ่มเบรกมือไฟฟ้าแทน แถมด้วยระบบ Auto Hold มาให้อีก 1 ปุ่ม ถอยมาอีกนิดมีแท่นวางสำหรับชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ด้านขวาของพวงมาลัย บนคอนโซลมีเพิ่มาให้อีก 4 ปุ่มคือ ปุ่มปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ที่ให้เลือกได้ 5 โหมดคือ 1) มาตรฐาน 2) Sport 3) ECO 4) ECO+ และ 5) อัตโนมัติ ซึ่งโหมดสุดท้ายจะมี AI ที่คอยเรียนรู้วิธีการขับขี่ของเรา แล้วปรับรูปแบบการตอบสนองให้ตรงกับการขับขี่ของเราให้เองได้อัตโนมัติ, ปุ่มปรับระดับไฟหน้า, ปุ่มปิดระบบ Traction Control และสุดท้ายกับปุ่มปิดระบบการขับเคลื่อน
ORA Good Cat 400 Pro มีหลังคา Sunroof แบบ Panoramic เปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ถ้ากดทีเดียวจะเลื่อนปกติ แต่ถ้าจะให้เลื่อนแบบอัตโนมัติ ต้อง Double Click เพื่อให้เลื่อนได้เองยาว ๆ กระจกมองหลังยังไม่เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ เจอไฟส่องต้องโยกเอาเอง ตรงจุดที่ฝังกล้องระบบความปลอดภัย มีช่อง USB ติดไว้เผื่อเอาสายกล้องบันทึกหน้ารถมาเสียบได้ตรงนั้นเลย เบาะหลังพับเรียบได้ (แต่เอียง) แบบ 60:40 มีเบาะรองแขนพร้อมที่วางแก้วน้ำ ตรงกลางมีช่อง USB มาให้อีก 1 หน่วย แต่ไม่มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
สำหรับระบบความปลอดภัยนั้น ค่ายจากแดนมังกรไม่เคยกั๊ก ใส่มาให้ยกชุดใหญ่ โดยใน ORA Good Cat 400 Pro จะมีมาให้ดังนี้
- คันเร่งอัจฉริยะ
- ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน พร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินในความเร็วต่ำ
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
- ABS
- EBD
- BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESC
- เซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด
- เสียงเตือนคนภายนอกในความเร็วต่ำ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ TJA
- กล้อง 360 องศา
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก AEBI
- ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า FCW
- ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง WDS
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA
- ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC
- ระบบช่วยเตือนเมื่อความเร็วสูงเกินค่ากำหนด
แต่ยังไม่เยอะเท่าตัวท็อปอย่าง 500 Ultra ที่จะเพิ่มมาทั้ง
- ระบบช่วยจอกอัจฉริยะ 3 รูปแบบ
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน ELK
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA
- ระบบช่วยเตือนมุมบอด BSD
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านท้าย RCW
- ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA
- ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTB
ข้อมูลน่าจะเพียงพอกับการไปเริ่มเทสได้แล้ว ว่าแล้วเราก็มาเริ่มขับกันเลยดีกว่า เบื้องต้นต้องบอกก่อนว่า ผมมีเวลากับ ORA Good Cat 400 Pro ไม่นานนัก จะได้ขับจริง ๆ ก็แค่จากแถวเส้นของจังหวัดราชบุรีกับนครปฐม กลับมาที่เมืองทองธานี ระยะทางก็ราวเกือบ 100 กิโลเมตรได้ กับได้ขับในสนามอีกเล็กน้อย อาจจะบอกอะไรไม่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะระยะทางที่ได้เมื่อขับตามความเป็นจริง ดังนั้นอาจจะขอเก็บการทดสอบบางอย่างเอาไว้ตอนได้รถมาทดสอบเดี่ยวอีกรอบ เรามาเริ่มต้นกับการนั่งบนรถก่อน เข้าไปในตัวรถแล้ว ต้องบอกเลยว่าภายในนั้นกว้างกว่าภาพที่มองเห็นด้านนอกเยอะเลย รถอาจจะดูเหมือนเล็กกะทัดรัด แต่พอนั่งข้างในแล้วใหญ่ไม่เบา น่าจะประมาณ Honda Civic หรือ Toyota Altis เลย ท่านั่งก็สบาย เท้าแขนซ้ายและขวาอยู่ในตำแหน่งที่พอดีในการวาง และที่แปลกตามาก ๆ ก็คือเรื่องของการออกแบบ ที่เรียบง่ายแบบ Minimal มาก ๆ ปุ่มมีให้ใช้งานได้น้อยมาก ถ้าไม่ได้ดูบนพวงมาลัยแล้ว ปุ่มกดหลัก ๆ มีแค่ 5 ปุ่มบนแผงคอนโซล, อีก 2 ปุ่มตรงข้างคนขับ กับลูกบิดอีก 1 ตัวเท่านั้นเอง การควบคุมอื่น ๆ เอาไปใส่ในหน้าจอหมด เหมือนจะดีนะครับ แต่ถ้าใช้งานจริง เวลาเราจะเปลี่ยนอุณหภูมิที ก็ต้องกดที่หน้าจอได้เพียงอย่างเดียว แถมยังไม่มีปุ่ม Shortcut เพื่อเรียกเมนูควบคุมแอร์ขึ้นมาได้เสียด้วย หลังจากลองใช้งานแล้ว เวลาเราขับรถแล้วใช้งาน Apple CarPlay อยู่ ถ้าจะเปลี่ยนอุณหภูมิ คือต้องกดออกจาก Apple CarPlay ก่อนแล้วค่อยมากดเมนูแอร์ มันดูซับซ้อนมาเกินไปสำหรับคนที่ต้องขับรถคนเดียว
ส่วนเรื่องอัตราเร่งของรถยนต์ใหม่คันนี้ แน่นอนครับว่ารับรูปแบบการตอบสนองของรถไฟฟ้ามาเต็ม ๆ (ก็นี่มันรถไฟฟ้า) แค่กดคันเร่งนิดเดียว รถก็พุ่งออกตัวได้อย่างทันใจแล้ว ทุกครั้งที่เราอยากได้กำลังในช่วงเร่งแซง, ช่วงออกตัว, ช่วงมุดเข้าช่อง ถือว่าทำได้ดีมากเลย กะประมาณเอาว่าความแรงอยู่ที่ประมาณเครื่องเบนซิน 2,000 - 2,500 ซีซีได้ แต่มีการออกตัวด้วยแรงบิดเต็มแบบไม่รอรอบที่ดีกว่า เพียงแค่ว่า ORA Good Cat 400 Pro จะวิ่งเร็วสุดได้แค่ 158 กม./ชม. เท่านั้นเอง (อันนี้ลองจริง ไม่ได้ตามสเปก) แต่ความเร็วระดับนี้ก็เหลือเฟือแล้ว ขับถึง 120 กม./ชม. ได้แบบสบายใจไม่ต้องลุ้น เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม
ตัวช่วงล่างในการขับขี่ เห็นสเปกก็พอคาดเดาได้ว่าน่าจะแข็งอยู่ แต่ก็แอบคิดเหมือนกันว่าการใช้ช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม อาจจะดีเหมือนค่ายญี่ปุ่นที่เลือกใช้แบบนี้เหมือนกัน แต่ให้ความนุ่มหนึบได้ พอขับจริงก็รู้เลยครับว่า แข็งว่ะ 555 ตอนนั่งขับก็ไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่พอนั่งหลังนี่เข้าใจถ่องแท้เลยว่าแข็ง มันไม่ได้แข็งเท่ารถกระบะมีแหนบนะ มันนุ่มกว่า แต่มันสู้พวกรถอเนกประสงค์ที่ขนาดใกล้เคียงกันยังไม่ได้ แต่ทั้งนี้ก็ได้มาซึ่งความนิ่งของตัวช่วงล่าง ขับเร็ว, ขับช้า, เข้าโค้ง, เปลี่ยนเลนเร็ว รถหนึบอยู่กับถนนได้ดีมาก ช่วงเข้าโค้งแรงอาจจะมีบ้างที่เจออาการท้ายโยนเล็กน้อย แต่อยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ รถแรงแบบนี้ ก็ต้องช่วงล่างแบบนี้แหล่ะเนอะ
การเลือกโหมดการขับขี่ รอบนี้ได้ลองแค่โหมด ECO กับโหมด Sport ซึ่งความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือการตอบสนองของคันเร่งที่มากน้อยต่างกัน เพราะเวลาเราต้องการประหยัด มันก็ต้องดึงในช่วงกดคันเร่ง แล้วค่อยปดปล่อยพลังออกมาทีละน้อย เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้านั่นเอง ส่วนโหมดสปอร์ตก็ปล่อยหมด มีแรงเท่าไหร่ก็ใส่ไปให้เต็มที่ แต่ผมเชื่อว่าถ้าใครได้ลองเปิดใช้งานโหมด Sport แล้ว คงไม่อยากหุนกลับไปใช้โหมด ECO แหง ๆ ยกเว้นเวลาไฟเหลือน้อยเท่านั้นแหล่ะ
ส่วนระบบความปลอดภัยบน ORA Good Cat 400 Pro ก็มีเยอะเพียงพอกับการใช้งาน แต่สิ่งที่ผมคิดว่าไม่น่าตัดไป ก็คือตัว ระบบช่วยเตือนมุมบอด BSD ที่น่าจะมีมาตั้งแต่ตัวเริ่มต้นเลย เพราะผมเชื่อว่าระบบนี้ จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้เยอะเลยนะ แต่ที่ชอบสุดก็แน่นอนครับ ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน พร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ ที่ทำงานได้เนียนและแม่นยำตลอดการทดสอบ ถ้าเส้นชัดนี่ พวงมาลัยหมุนเข้าโค้งให้เราได้เลย การเร่ง-เบรกก็ทำได้เนียนประดุจมีคนขับรถประสบการณ์ 30 ปีมาขับให้เลย อันนี้ชอบมาก แถมเมื่อถึงทางโค้ง ระบบจะชะลอความเร็วเพื่อให้เข้าโค้งได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย
แต่ระหว่างการขับขี่ ด้วยความเร็วแค่ระดับ 90 กม./ชม. ดันเจอเสียงลมเข้ามาจากร่องกระจกข้างซะงั้น และจะเริ่มดังมากขึ้นเมื่อยิ่งขับเร็วขึ้น โอย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ เกิดมาเป็นรถไฟฟ้า เสียงเครื่องยนต์ไม่ดังแต่ดันมีเสียงลมเข้ามาเป่าหูแทนอีก รำคาญมาก แต่พอตอนจบทริปเดินไปถามน้อง ๆ ที่ร่วมทริปเดียวกันว่าได้ยินไหม น้องบอกว่าไม่เห็นได้ยินเลย ออกจะเงียบด้วยซ้ำ เอาเป้นว่าอาจจะเป็นไปได้ว่ารถที่ผมทดสอบอาจจะมีปัญหาแค่คันเดียวก็ได้มั้ง และอีกอย่างที่อยากให้ทำได้ ก็คือการปรับน้ำหนักพวงมาลัยตามความเร็วของรถ เพราะตอนนี้มัยต้องตั้งเอง แต่ถ้าเพิ่มโหมดอัตโนมัติมาให้อีกสักโหมด ปรับน้ำหนักให้มากขึ้นตอนใช้ความเร็วสูง ก็น่าจะช่วยให้การซิ่งนั้นสนุกมากขึ้นแน่นอน
ข้ามมาเรื่องอัตราเร่ง 0-100 กันดีกว่า รอบนี้ผมทดสอบโดยมีผู้โดยสารด้วย 1 ท่าน น้ำหนักพอ ๆ กับผมเลย แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 200 กิโลกรัมแน่ ๆ จับเวลาด้วยแอพ iBolid 0-100 เช่นเคย ทดสอบทั้งสิ้น 3 รอบ ได้เวลาออกมาดังนี้
ครั้งที่ 1 - 9.57 วินาที
ครั้งที่ 2 - 9.58 วินาที
ครั้งที่ 3 - 9.84 วินาที
เฉลี่ย 9.66 วินาที
ตัวเลขขนาดนี้ถือว่าแย่ไหม ก็ไม่แย่นะ แต่ตอนแรกคาดหวังได้สักประมาณ 8 วินาที อย่างว่าแหล่ะ อัตราเร่งขนาดนี้ ก็ไม่แพ้ใครในตลาดง่าย ๆ แน่นอน
สรุปรวมขับสั้น ๆ 1 วัน กับ ORA Good Cat 400 Pro ได้ความชอบและความไม่ชอบออกมาได้ประมาณนี้ครับ
ชอบ
- ช่วงล่างดีเลย ในเรื่องของการนิ่ง การเกาะถนน ถึงแม้จะแข็งไปหน่อยก็ตาม
- ห้องโดยสารกว้างเลย ยิ่งด้านหลังยิ่งนั่งสบาย
- ระบบความปลอดภัยเยอะ ที่ชอบสุดคือระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน พร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ
ไม่ชอบ
- เสียงลมที่เข้าร่องกระจกมาตั้งแต่ 90 กม./ชม.
- ระบบการควบคุมแอร์ที่ต้องกดหลายทีกว่าจะปรับได้
- การขาดหายไปของระบบช่วยเตือนมุมบอด BSD ในรุ่นกลาง
ORA Good Cat ยังไม่มีการเปิดราคาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่การได้สนทนากับเพื่อน ๆ สื่อมวลชนด้วยกัน ได้ราคาออกมาที่ประมาณ 8xx,xxx - 1,xxx,xxx บาท (เดานะ) ถ้าราคานี้ผมว่าจะเกิดได้ เพราะการจ่ายเงินในระดับนี้ ได้รถที่ใช้ขับได้ระยะทาง 300 กิโลเมตรขึ้นไป (หมายถึงระยะการใช้งานจริงนะ) แทบจะชาร์จวันเว้นวันได้เลย ได้รถที่มีอุปกรณ์ ระบบความปลอดภัยที่ทันสมัยมากมาย ใครที่กำลังหารถคันที่ 2 ที่เอาไว้ใช้ในเมือง รถไฟฟ้าคันนี้ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เยอะเหมือนกัน
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com