วิธีเลือกซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ให้เหมาะกับรถของเรา
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 2 เม.ย. 64 00:00
- 17,285 อ่าน
แบตเตอรี่ ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากสำหรับรถยนต์ทุกคัน เราะมันคือแหล่งพลังงานแรกที่จะเอาไว้สตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดและพร้อมเดินทางได้ แน่นอนว่ามันก็มีอายุการใช้งานเหมือนกัน วันไหนหมดอายุก็ต้องเปลี่ยนใหม่ วันนี้เรามาดูวิธีเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ให้เหมาะกับรถของเรา ว่าควรต้องเลือกอย่างไร ดูอย่างไรบ้างครับ
ประเภทของแบตเตอรี่
ถึงแม้ว่ารูปร่างของตัวแบตเตอรี่รถยนต์ จะคล้ายกัน แต่มันมีรายละเอียดที่แตกต่างกันพอสมควร เริ่มต้นความแตกต่างจากประเภทของแบตเตอรี่เลย โดยส่วนใหญ่จะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
- แบตเตอรี่แบบเปียก เป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะราคาต่ำที่สุด แต่ก่อนจะเริ่มใช้งาน จะต้องมีการเติมน้ำกรดลงไปที่แผ่นธาตุ แล้วชาร์จไฟเข้าไปเพื่อเติมประจุไฟก่อนการใช้งาน ถึงจะใช้งานได้ และต้องมีการดูแลเติมน้ำกลั่นให้ท่วมแผ่นธาตุอยู่เป็นประจำ เพราะถ้าน้ำกลั่นมีระดับต่ำกว่าแผ่นธาตุเมื่อไหร่ ตัวแผ่นธาตุจะเริ่มเสื่อมสภาพ เก็บไฟไว้ไม่ได้ ตัวแบตเตอรี่ก็เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร ถ้าเลือกใช้ประเภทนี้ ควรต้องมีวินัยในการดูแลพอสมควร
- แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง หรือบางยี่ห้อเรียกแบบ Hybrid ประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าแบบเปียกเล็กน้อย เพราะไม่ต้องการดูแลบ่อยเท่าแบบเปียก แต่ก็ยังต้องดูแลอยู่ โดยแบตเตอรี่ประเภทนี้จะมีการอัดประจุไฟและเติมน้ำกรดมาจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว สามารถนำไปใส่ในรถยนต์แล้วใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องชาร์จไฟก่อน การดูแลนั้นก็ง่าย เปิดดูน้ำสัก 3 เดือนครั้ง เพื่อเช็คระดับน้ำกลั่น เท่านี้ก็ใช้งานได้ปกติแล้ว
- แบตเตอรี่แบบแห้ง ประเภทนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการดูแลมันเลย ปล่อยให้แบตเตอรี่ดูแลตัวเองจนสิ้นอายุขัย โดยแบตเตอรี่แบบนี้ จะไม่มีรูสำหรับเปิดเพื่อดูน้ำกลั่น มีเฉพาะตาแมวเพื่อตรวจเช็คระดับไฟเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วภายในแบตเตอรี่ก็ไม่ใช้เป็นแผ่นธาตุแห้ง ยังคงมีเจลกรดท่วมอยู่เหมือนประเภทอื่น เพียงแต่ว่ามันจะอยู่ในระบบปิด ไม่มีการระเหยออกมา รวมทั้งตัวแผ่นธาตุก็มีคุณภาพสูงกว่า จึงมีอายุการใช้งานที่นานกว่า และแน่นอนว่าจะต้องแลกมากับเงินที่ต้องจ่ายไปมากขึ้นกว่าในแบบอื่น
กำลังไฟของแบตเตอรี่
นอกจากขนาดมิติของตัวแบตเตอรี่แล้ว ตัวความจุของแบตเตอรี่ก็สำคัญมากเช่นกัน ปกติแล้วอยากแนะนำให้เลือกใช้ความจุตามที่คู่มีของรถยนต์กำหนดไว้ เช่น ระบุไว้ให้ใช้ความจุ 12V 60 Ah หมายความว่าแบตเตอรี่ความจุ 60 แอมป์แปร์-ชั่วโมง เรียกง่าย ๆ ว่าแบตเตอรี่ 60 แอมป์ เมื่อเปลี่ยนตัวใหม่ก็ควรใช้ตามนี้เลย ยกเว้นแต่ว่าถ้ามีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มพิเศษ เช่น ไฟสปอร์ตไลท์ เครื่องเสียงชุดใหญ่ แนะนำให้เพิ่มขึ้นไปอีก 5- 10 แอมป์ เพื่อลดการเสียหายต่อแบตเตอรี่ ทำให้อายุการใช้งานยังคงเป็นไปตามปกติ
เลือกขั้วให้ถูกข้าง
ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ เราก็แค่ขับเข้าศูนย์บริการหรือร้านแบตเตอรี่ทั่วไป ร้านก็จะจัดการให้เราเอง เราเพียงแค่เลือกว่าจะเอาราคาเท่าไหร่ ประเภทไหนเท่านั้นเอง แต่ในกรณีที่เราไม่สามารถเอารถไปถึงศูนย์บริการหรือที่ร้านเองได้ แล้วต้องการซื้อกลับบ้านไปเปลี่ยนเอง สิ่งที่ควรต้องรู้ก็คือการติดตั้งแบตเตอรี่ของเรานั้น จะเป็นขั้ว L หรือขั้ว R ซึ่งมาจาก Left-Right หรือซ้าย-ขวา นั่นเอง แล้วเราจะรู้ว่ามันคือขั้วอะไรได้อย่างไร ไม่ยากครับ เพียงแค่มองตัวแบตเตอรี่ให้ตัวขั้วแบตอยู่ขอบด้านบน แล้วดูว่าขั้วบวก (+) อยู่ข้างไหน ถ้าอยู่ข้างขวาคือขั้ว R ถ้าอยู่ข้างซ่้ายคือขั้ว L ตอนไปซื้อก็แค่บอกจำนวนความจุเป็นแอมป์ และบอกว่าขั้ว R หรือ L เท่านี้ก็ได้แบตเตอรี่ที่เหมาะกับรถเราแล้ว
ขั้วจม-ขั้วลอย
นอกจากจะดูว่าขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ของเรามีขั้วบวกอยู่ข้างไหนแล้ว ยังต้องดูอีกว่าเป็นแบบขั้วลอยหรือขั้วจม เพราะรถแบรนด์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเลือกใช้งานแบบขั้วลอย ที่ตัวขั้วยื่นลอยสูงขึ้นมาจากตัวฝาบน แต่รถยุโรปส่วนใหญ่จะใช้งานแบบขั้วจม หรือตัวขั้วอยู่ลึกลงไป และตัวบนสุดของขั้วจะสูงเท่าฝาบนของแบตเตอรี่ แนะนำให้เลือกใช้ตรงกับที่คู่มือระบุเอาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีผลในการติดตั้งได้ เพราะแต่ละค่ายก็จะออกแบบห้องเครื่องยนต์มาให้ใช้กับแบตเตอรี่แบบนั้น ๆ อยู่แล้ว
อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ส่วนใหญ่แล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ 1.5 ปี - 3 ปี แล้วแต่วิธีการใช้งาน ซึ่ง AUTODEFT เองก็เคยแนะนำวิธีดูว่า "สัญญาณอะไรบ้างที่บอกว่า แบตเตอรี่ของคุณถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว" เอาไว้แล้ว ส่วนวิธีการดูแลให้การใช้งานแบตเตอรี่ให้ได้นานที่สุดต้องทำอย่างไร เร็ว ๆ นี้เราจะนำมาให้ทุกท่านได้ทราบต่ออย่างแน่นอน
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com